'ยาลดความอ้วน' พากำไรพุ่ง Eli Lilly ขึ้นแท่นบริษัทยา 1 ล้านล้านดอลลาร์รายแรก

'ยาลดความอ้วน' กำลังเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ในอุตสาหกรรมยา และพาบริษัท Eli Lilly ขึ้นแท่นบริษัทยาที่มีมูลค่าแตะ '1 ล้านล้านดอลลาร์' เป็นรายแรกของโลกเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ต้นปีพาหุ้นบริษัทพุ่งทะยาน 35%
บริษัทยาอเมริกัน "อีไล ลิลลี" (Eli Lilly) สร้างสถิติใหม่ในวันศุกร์ ด้วยการขึ้นแท่นเป็น "บริษัทยาแห่งแรกของโลก" ที่มีมูลค่าตลาดแตะหลัก "1 ล้านล้านดอลลาร์" (กว่า 32 ล้านล้านบาท) สะท้อนการเติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะผู้นำตลาดยาลดความอ้วน ซึ่งกำลังเป็นยาดาวรุ่งพุ่งแรงในอุตสาหกรรมยา
ราคาหุ้นของ Eli Lilly ทำราคาปิดตลาดสูงสุดทุบสถิติใหม่ที่ 1,051 ดอลลาร์ หรือบวกไปเกือบ 1% เมื่อวันศุกร์ จากราคาปิดตลาดสิ้นปีที่แล้วที่ 772 ดอลลาร์ ทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งขึ้นแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงการบริษัทยา
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ยาลดความอ้วนที่มีประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ออกสู่ตลาด หมวดสินค้านี้ได้กลายเป็นเซ็กเมนต์ที่ทำกำไรมากที่สุดแห่งหนึ่งของอุตสาหกรรมการแพทย์
ยาลดน้ำหนัก Tirzepatide ของอีไล ลิลลี ซึ่งทำตลาดในชื่อว่า "มอนจาโร" (Mounjaro) สำหรับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และยา "เซพบาวด์" (Zepbound) สำหรับโรคอ้วน ได้ชื่อว่าเป็น "ยา(ลดความอ้วน)ที่ขายดีที่สุดในโลก" จนแซงหน้ายา "Keytruda" ของบริษัท Merck
และแม้ว่าบริษัทยาสัญชาติเดนมาร์ก "โนโว นอร์ดิสก์" (Novo Nordisk) จะเป็นผู้เริ่มต้นความสำเร็จในตลาดยาลดความอ้วนก่อนใครกับยาเรือธงอย่าง "วีโกวี" (Wegovy) แต่ยอดสั่งจ่ายของ Mounjaro และ Zepbound กลับพุ่งสูงจนทำให้อีไล ลิลลี แซงคู่แข่งรายนี้ขึ้นมาได้
การที่เกมพลิกกลับมาอยู่ในมือของบริษัทยาอเมริกันนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยา Wegovy ของโนโวที่เปิดตัวในปี 2021 ประสบปัญหาขาดแคลนสินค้าอย่างหนัก จึงทำให้อีไล ลิลลี สามารถเข้าไปชิงพื้นที่ในการขยายตลาด นอกจากนี้ ยาของลิลลียังแสดงประสิทธิภาพทางคลินิกที่ดีกว่า และบริษัทสามารถเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตและขยายการกระจายสินค้าได้รวดเร็วกว่าอีกด้วย
ยาลดความอ้วนโตแกร่ง
ปัจจุบันหุ้นของลิลลีซื้อขายกันในมูลค่าสูงที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มบริษัทยาขนาดใหญ่ โดยมี P/E อยู่ที่ประมาณ 50 เท่าตามข้อมูลของ LSEG ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า "ความต้องการยาลดความอ้วนจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป"
ราคาหุ้นของลิลลียังนับว่าสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐโดยรวมอย่างมากด้วย นับตั้งแต่เปิดตัว Zepbound ในช่วงปลายปี 2023 ราคาหุ้นของลิลลีปรับตัวบวกไปแล้วกว่า 75% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ที่เพิ่มขึ้นกว่า 50% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ในไตรมาสล่าสุด บริษัทมียอดรายได้จากกลุ่มยารักษาโรคอ้วนและโรคเบาหวานมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการทำเงินมากกว่าครึ่งของรายได้รวมทั้งบริษัทที่ 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์
“มูลค่าบริษัทในปัจจุบันแสดงให้เห็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพระยะยาวของกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพเมตาบอลิซึมของบริษัท และสะท้อนว่าตลาดให้ความสนใจ Lilly มากกว่า Novo ในศึกชิงตลาดยาลดความอ้วน” อีแวน ซีเกอร์แมน นักวิเคราะห์จาก BMO Capital Markets กล่าว
เมื่อเดือนต.ค. ที่ผ่านมา ลิลลีได้ปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ทั้งปีขึ้นอีกมากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ จากอุปสงค์ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นต่อกลุ่มยาลดน้ำหนักและยาเบาหวานของบริษัท
ขณะที่วอลล์สตรีทประเมินว่า ตลาดยาลดความอ้วนทั่วโลกอาจมีมูลค่าพุ่งทะยานไปแตะ 1.5 แสนล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 โดย Lilly และ Novo จะครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ร่วมกัน
ตอนนี้บรรดานักลงทุนกำลังจับตายาลดความอ้วนชนิดใหม่ของลิลลีในรูปแบบ "ยาเม็ด" หรือยา "Orforglipron" (ยาในกลุ่ม GLP-1) ซึ่งคาดว่าจะได้รับอนุมัติในช่วงต้นปีหน้า
นักวิเคราะห์จาก Citi ระบุในรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ยา GLP-1 รุ่นใหม่เป็น “ปรากฏการณ์ด้านยอดขาย” และ orforglipron มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากฐานความนิยมที่กลุ่มยาฉีดรุ่นก่อนหน้าได้สร้างไว้แล้ว
นโยบายทรัมป์หนุนขยายตลาดสหรัฐ
นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่หนุนให้ภาคเอกชนลงทุนในประเทศ ทำให้อีไล ลิลลี เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จะมีการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อขยายการผลิตภายในสหรัฐ
นักวิเคราะห์ระบุว่าข้อตกลงด้านราคากับทำเนียบขาว อาจกดดันรายได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการรักษา โดยคาดว่าจะมีชาวอเมริกันอีกมากถึง 40 ล้านคนที่สามารถเข้ารับการรักษาโรคอ้วนได้
เจมส์ ชิน ผู้อำนวยการวิจัยหุ้นไบโอฟาร์มาของธนาคารดอยช์แบงก์มองว่า อีไล ลิลลี เริ่มมีภาพลักษณ์คล้าย "หุ้น 7 นางฟ้า" หรือ "Magnificent Seven” แบบเดียวกับหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Nvidia และ Microsoft ที่ขับเคลื่อนผลตอบแทนตลาดหุ้นในปีนี้
ครั้งหนึ่งนักลงทุนเคยมองลิลลีเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหุ้นชั้นนำดังกล่าว แต่หลังจากมีพาดหัวข่าวและผลประกอบการที่น่าผิดหวัง บริษัทก็หลุดจากความสนใจไปช่วงหนึ่ง แต่ชินกล่าวว่า ลิลลีอาจกลับมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นกลุ่ม AI บางตัวเริ่มมีสัญญาณอ่อนแรง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์และนักลงทุนยังคงจับตาว่าลิลลีจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตในปัจจุบันได้หรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันด้านราคาของ Mounjaro และ Zepbound รวมถึงความสำเร็จของแผนเพิ่มกำลังการผลิต ตลอดจนสายผลิตภัณฑ์ใหม่และดีลซื้อกิจการที่จะช่วยชดเชยความเสี่ยงด้านกำไรที่อาจลดลง







