ฟิทช์เตือน 'แบงก์เวียดนามเสี่ยง' หลังรัฐบาลเร่งการปล่อยกู้

ฟิทช์เตือน 'แบงก์เวียดนามเสี่ยง' หลังรัฐบาลเร่งการปล่อยกู้

ฟิทช์ส่งสัญญาณเตือน 'ธนาคารในเวียดนาม' พร้อมเตือน 2 จุดอ่อนสำคัญ ห่วงความร้อนแรงของการปล่อยกู้ ย้ำสินเชื่อโตเร็วกว่าจีดีพีไปไกล และอาจเสี่ยงหนักขึ้น หากรัฐบาลยกเลิกโควตาสินเชื่อปีหน้า

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ "ฟิทช์ เรทติ้งส์" (Fitch Ratings) เตือนว่า การขยายสินเชื่อของธนาคารในเวียดนามที่เร่งตัวขึ้นในระยะหลัง กำลัง "เพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน" และความเสี่ยงอาจยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเมื่อรัฐบาลยุติการใช้ระบบ "โควตาการปล่อยสินเชื่อ" ที่ใช้มานานหลายปี

“การขยายตัวของสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูงมากอยู่แล้ว และเพิ่มภาระหนี้ซึ่งสูงมากอยู่แล้วเช่นกัน” วิลลี ทาโนโต ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสถาบันการเงินประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าว

ทาโนโต กล่าวด้วยว่า แม้ฟิทช์จะยังมีมุมมองเป็นกลางถึงเชิงบวกต่อแนวโน้มภาคธนาคารเวียดนาม แต่เขาก็ยอมรับว่าตลอดช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา เขารู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าที่เคยในช่วง 5 ปีก่อน

ลุยปล่อยกู้หนุนจีดีพีโต 8-10%

ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ได้สั่งการให้ธนาคารกลางเวียดนามจัดทำ "โรดแมป" เพื่อยกเลิกโควตาการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโต 8% ในปีนี้ และเฉลี่ยปีละ 10% ตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สินเชื่อในระบบปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.1% จากปีก่อนตามข้อมูลของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ขณะที่ธนาคารกลางเวียดนามประเมินว่า สินเชื่อรวมตลอดทั้งปีนี้อาจเติบโต 19-20% ส่วนในปีหน้า 2569 ฟิทช์ประเมินว่าการปล่อยกู้จะยังขยายตัวราว 18% แม้จะยังไม่มีการเปลี่ยนนโยบายโควตาก็ตาม

การเร่งตัวดังกล่าวเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เวียดนามเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่ขยายตัวเร็วที่สุดในโลก โดยจีดีพีไตรมาสสามโตถึง 8.2% จากปีก่อน 

ระดับการก่อหนี้สูงกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม ในการสัมมนาอีกเวทีในกรุงฮานอย ทาโนโตตั้งข้อสังเกตว่าการเติบโตของสินเชื่อเวียดนามได้แซงหน้าการเติบโตของจีดีพีมาหลายปีแล้ว และความหนาแน่นของสินเชื่ออาจสูงถึง 145% ของจีดีพีภายในสิ้นปีนี้ 

“การก่อหนี้ในระดับนี้ถือว่าผิดปกติอย่างมากสำหรับตลาดในระยะพัฒนาที่เวียดนามกำลังดำเนินอยู่ และสำหรับรายได้ต่อหัวของเวียดนาม” ผู้บริหารฟิทช์ กล่าว นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของระบบการเงิน แม้ว่าความเสี่ยงจะยังไม่ชัดเจนในระยะสั้นก็ตาม

ทั้งนี้ แม้จะมีความเสี่ยงดังกล่าว ฟิทช์ก็ยังมองว่าเวียดนามมีจุดแข็งหลายด้าน เช่น แนวโน้มการเติบโตในระยะกลางที่ดี ระดับหนี้ในภาพรวมที่ต่ำกว่าประเทศซึ่งมีอันดับเครดิตใกล้เคียงกัน และโครงสร้างหนี้ต่างประเทศที่แข็งแรงกว่า

ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางเวียดนามเคยระบุว่าจะเข้มงวดการปล่อยกู้ในภาคส่วนที่มีความเสี่ยงสูง โดยต้องการให้ธนาคารพาณิชย์เน้นปล่อยกู้ไปยังภาคการผลิต ภาคธุรกิจ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกลุ่มที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ควบคู่กับการขยายสินเชื่อผู้บริโภคอย่างระมัดระวัง และจำกัดการไหลของสินเชื่อไปยังภาคธุรกิจเสี่ยง

มีจุดอ่อนพื้นฐาน 2 ด้าน

ทาโนโต กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยโครงสร้างแล้วระบบธนาคารเวียดนามมี "จุดอ่อนพื้นฐาน 2 ประการคือ ความต้องการรับความเสี่ยงในระดับสูง และการมีกันชนสำรองความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำ  แม้ธนาคารยังคงทำกำไรได้ แต่กำไรส่วนใหญ่ถูกนำกลับไปลงทุนใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวของสินทรัพย์ที่รวดเร็ว ทำให้มีพื้นที่จำกัดในการเพิ่มเงินกองทุน ขณะที่การตั้งสำรองส่วนใหญ่เป็นไปตามขั้นต่ำตามกฎเกณฑ์ และยังไม่มองไปข้างหน้าเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่การปล่อยกู้ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวลง รัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างน้อย 8.4% ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขยายตัวมากกว่า 8% ในปี 2025 ตามคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

จากข้อมูลของเวิลด์แบงก์เมื่อเดือนก.ย. ระบุว่า คุณภาพของสินทรัพย์ในระบบยังดูมีเสถียรภาพ แม้อัตราหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ 27 แห่ง จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.8% ในไตรมาสแรกเมื่อเทียบกับปีที่แล้วก็ตาม และเตือนว่ายังมีความเสี่ยงพื้นฐานอยู่ เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ การปรับโครงสร้าง และสัดส่วนการตั้งสำรองที่ลดลง

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์