'สหรัฐ-ยูเครน' สยบข่าวลือ 'อบราโมวิช' ถูกรัสเซีย 'วางยาพิษ'

'สหรัฐ-ยูเครน' สยบข่าวลือ 'อบราโมวิช' ถูกรัสเซีย 'วางยาพิษ'

เจ้าหน้าที่สหรัฐและยูเครน สยบกระแสข่าวร้อนที่ว่า "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีรัสเซียที่ถูกตะวันตกคว่ำบาตร มีอาการต้องสงสัยว่า "ถูกวางยาพิษ" หลังร่วมการประชุมในกรุงเคียฟช่วงต้นเดือน ยันเศรษฐีรัสเซียแค่ "แพ้อากาศ"

เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ (28 มี.ค.) เว็บไซต์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิด ระบุว่า โรมัน อบราโมวิช ที่ถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร และขณะนี้เป็นหนึ่งในผู้แทนเจรจาสันติภาพเพื่อช่วยเจรจาให้รัสเซียหยุดรุกรานยูเครน และสมาชิกระดับสูง 2 รายของทีมเจรจายูเครน ต่างล้มป่วยด้วยอาการต้องสงสัย "ถูกวางยาพิษ" หลังจากร่วมการประชุมรอบหนึ่งในกรุงเคียฟเมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค.

\'สหรัฐ-ยูเครน\' สยบข่าวลือ \'อบราโมวิช\' ถูกรัสเซีย \'วางยาพิษ\'
- โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีรัสเซีย เจ้าของทีมเชลซี -

รายงานระบุว่า อาการของทั้ง 3 คนซึ่งรวมถึง รุสเทม อูเมรอฟ ส.ส.ชาวตาตาร์ไครเมีย ประกอบด้วย ตาแดง และแสบตา น้ำตาไหลไม่หยุด ผิวหนังลอกบนใบหน้าและมือ แต่ล่าสุดอาการพวกเขาดีขึ้นแล้ว และไม่ถึงขั้นเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

นอกจากนี้ วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ผู้อยู่เบื้องหลังอาจเป็นกลุ่มหัวสุดโต่งในกรุงมอสโกของรัสเซีย ที่ต้องการบ่อนทำลายการเจรจายุติสงคราม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงค่ำวันจันทร์ มิคาอิโล โปโดลยัค ผู้แทนเจรจาของยูเครนกล่าวถึงรายงานดังกล่าวว่า "มีการคาดเดากันไปต่าง ๆ นานา มีแต่ทฤษฎีสมคบคิด"

ขณะที่ อูเมรอฟ สมาชิกทีมเจรจาอีกคนซึ่งถูกพาดพิงในรายงานของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ออกมาเรียกร้องให้ประชาชน "อย่าหลงเชื่อข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ"

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สหรัฐรายหนึ่ง ซึ่งไม่ประสงค์ออกนาม ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ข่าวกรองบ่งชี้ว่าการล้มป่วยของอบราโมวิช และคณะผู้แทนเจรจาสันติภาพของยูเครน สืบเนื่องจาก "ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม" และไม่ได้ถูกวางยาพิษ

"ข่าวกรองบ่งชี้เป็นอย่างสูงว่ามันเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อม ไม่ใช่ยาพิษ" แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐระบุ

ทั้งนี้ อบราโมวิช ถือเป็นมหาเศรษฐีรัสเซียที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกใช้มาตรการลงโทษจากชาติตะวันตกซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่าง ๆ ของเขา รวมทั้งสโมสรฟุตบอลเชลซีที่เขาเป็นเจ้าของด้วย

-------------------------

ที่มา: Reuters, WSJ