โครงการเพศศึกษายุคโอบามาช่วยลด‘คุณแม่วัยใส’

โครงการเพศศึกษายุคโอบามาช่วยลด‘คุณแม่วัยใส’

ผลการศึกษาในวงกว้างชี้ โครงการเพศศึกษาสมัยโอบามาที่ถูกฝ่ายอนุรักษนิยมวิจารณ์ ประสบความสำเร็จลดอัตราการคลอดบุตรของวัยรุ่นได้ในหลายพื้นที่

ตามที่สหรัฐมีอัตราการคลอดบุตรของวัยรุ่นสูงกว่าประเทศอื่นใดในกลุ่มจี7 และการสอนให้วัยรุ่นรู้จักการคุมกำเนิดยังเป็นหัวข้อที่นักวิชาการ นักการเมือง และสาธารณชนถกเถียงกันดุเดือด กฎหมายปี 2539 จัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลกลางให้การศึกษาเพื่องดเว้นเพศสัมพันธ์ แต่ในปี 2553 สมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา เริ่มโครงการเพศศึกษาอย่างครอบคลุมอีกสองโครงการ ได้แก่ โครงการการศึกษาอย่างรับผิดชอบส่วนบุคคล (พีอาร์อีพี) และโครงการป้องกันวัยรุ่นตั้งครรภ์ (ทีพีพี) ทั้งสองโครงการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ การคุมกำเนิด และอนามัยเจริญพันธุ์ เปรียบเทียบกับการศึกษาเพื่อไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ที่ผลวิจัยชี้ว่า ไม่มีผลต่ออัตราการให้กำเนิดบุตรของวัยรุ่น

นิโคลัส มาร์ก นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (เอ็นวายยู) หัวหน้าคณะนักวิจัยโครงการศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติเผยว่า โครงการวิจัยชิ้นนี้ ศึกษาว่างบประมาณของรัฐไปที่ไหน ส่งผลต่ออัตราการกำเนิดบุตรของวัยรุ่นอย่างไร โดยมาร์คและลอว์เรนซ์ อู๋ ศาสตราจารย์จากเอ็นวายยูเน้นที่ทีพีพี เพราะเป็นโครงการที่ให้งบประมาณไปถึงระดับเขต (เคาน์ตี) ไม่ใช่แค่ระดับรัฐ จึงศึกษาเปรียบเทียบระหว่างเขตที่มีรายได้และความยากจนในระดับเท่ากันได้

นักวิจัยเก็บข้อมูลว่าเขตใดบ้างที่ได้รับงบประมาณ ดูฐานข้อมูลสูติบัตรในเขต อายุมารดาขณะให้กำเนิดบุตร และที่อยู่ของมารดา ศึกษาอัตราการให้กำเนิดบุตรของวัยรุ่นใน 55 เขต ตั้งแต่ปี 2539-2552 ก่อนได้งบประมาณทีพีพี และระหว่างปี 2553-2559 ซึ่งได้รับงบประมาณทำโครงการ รวมทั้งเปรียบเทียบอัตราการเกิดใน 55 เขตกับอีกกว่า 2,800 เขตที่ไม่ได้งบประมาณในช่วงก่อนและหลังได้งบประมาณทำโครงการทีพีพี

ผลวิจัยพบว่า อัตราการเกิดในหมู่วัยรุ่นอายุ 14-19 ปีในเขตที่ได้รับงบประมาณทำโครงการทีพีพีลดลงราว 3% ในปีที่ศึกษา เปรียบเทียบกับช่วงก่อนได้รับงบประมาณ และเขตที่ไม่ได้รับงบประมาณ

นักวิจัยกล่าวว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นความพยายามระดับชาติครั้งแรกเพื่อศึกษาคำถาม และอธิบายถึงเหตุและผลมากกว่าอธิบายความสัมพันธ์พื้นๆ

ทั้งนี้ ในสหรัฐที่สงครามวัฒนธรรมกำลังดำเนินอยู่ การสนับสนุนเพศศึกษาอย่างครอบคลุมกับสอนให้งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ รัฐบาลอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามดึงงบประมาณกลับไปให้การศึกษาแบบงดเว้น แต่ถูกกลุ่ม Planned Parenthood ฟ้องคัดค้านต่อศาล

การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นและการให้กำเนิดบุตรในหลายกรณีไม่เป็นที่ต้องการของคนเป็นแม่ ดังนั้นการทำแท้งจึงอาจเป็นทางออกได้ แต่เร็วๆ นี้คาดว่า ศาลฎีกาที่เสียงส่วนใหญ่เป็นฝ่ายอนุรักษนิยมจะพลิกคำพิพากษาที่ให้การทำแท้งเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญในสหรัฐได้เมื่อ 50 ปีก่อน การห้ามทำแท้งทำได้แค่ระดับรัฐ