ดาวโจนส์ร่วง 313 จุดท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน

ดาวโจนส์ร่วง 313 จุดท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(20ม.ค.)ปรับตัวร่วงลง 313 จุด ท่ามกลางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ทรงตัว

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 313.26 จุด หรือ 0.89% ปิดที่ 34,715.39 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 50.03 จุด หรือ 1.10% ปิดที่ 4,482.73 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 186.24 จุด หรือ 1.30% ปิดที่ 14,154.02 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 300 จุดเมื่อวันพุธ โดยถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งแตะ 1.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2562

ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ม.ค. หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายต่างแสดงความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งรวมถึงนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด, นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟด สาขาชิคาโก, นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย และนางแมรี ดาลี ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) พร้อมกับคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้

ด้านโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ และจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลในเดือนก.ค.หรือเร็วกว่านั้น จากปัจจุบันที่พุ่งสูงกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 286,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2564 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 225,000 ราย และสูงกว่าตัวเลขที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 231,000 ราย

นอกจากนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองดิ่งลง 4.6% สู่ระดับ 6.18 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน

เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านลดลง 7.1% ในเดือนธ.ค.

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาทั้งปี 2564 ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 8.5% เมื่อเทียบจากปี 2563 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2549