แรงงานป่วย-รร.เปิดเทอมโจทย์ใหญ่รัฐบาลอังกฤษ

แรงงานป่วย-รร.เปิดเทอมโจทย์ใหญ่รัฐบาลอังกฤษ

แรงงานป่วย-รร.เปิดเทอมโจทย์ใหญ่รัฐบาลอังกฤษ ขณะรัฐมนตรีประจำสำนักคณะรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมกับคณะรัฐมนตรีเพื่อประเมินว่าการแพร่กระจายของเชื้อโอมิครอน มีผลกระทบต่อแรงงานและห่วงโซ่อุปทานอย่างไร

อังกฤษเตรียมรับมือแรงงานลาป่วยค่อนประเทศ เหตุเพราะติดโควิด-19  พร้อมปรับแผนรับมือ ประกาศให้เด็กนักเรียนต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกคน บังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 26 ม.ค.เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอน

เพื่อที่จะจำกัดผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจของภาคต่าง ๆ รัฐบาลอังกฤษกำลังเตรียมแผนในการรับมือกับปัญหาการลาป่วยของบรรดาแรงงานมากถึง 25 %ในกรณีที่คนเหล่านี้ติดเชื้อโควิด-19 และไม่สามารถทำงานได้

ขณะนี้ รัฐมนตรีอังกฤษหลายคนกำลังทำงานเพื่อพัฒนาแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับปัญหาการลาป่วยครั้งใหญ่ในสถานที่ทำงาน เนื่องจากรัฐบาลเตือนแล้วว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้พนักงานหยุดงานกันมากถึง 1 ใน 4

สำนักงานคณะรัฐมนตรีอังกฤษ เปิดเผยว่าผู้นำภาครัฐ ได้รับการขอให้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับอัตราการลาป่วยที่ 10, 20 และ 25%
 

ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรมีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงเทศกาล

ที่ผ่านมาภาคการคมนาคม การดูแลสุุขภาพ และโรงเรียนต่างก็ได้รับผลกระทบจากการลาป่วยแล้ว

ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่การแยกตัวเองของผู้คนจำนวนมาก และไม่สามารถไปทำงานได้ สิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมที่พนักงานไม่สามารถทำงานจากที่บ้านได้

สำนักงานคณะรัฐมนตรีเปิดเผยว่า "สตีฟ บาร์เคลย์" รัฐมนตรีประจำสำนักคณะรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมกับรัฐมนตรีเพื่อประเมินว่าการแพร่กระจายของเชื้อโอมิครอน มีผลกระทบต่อแรงงานและห่วงโซ่อุปทานอย่างไร
 

นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษขอให้รัฐมนตรีทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อทดสอบการเตรียมการและแผนฉุกเฉิน เพื่อที่จะจำกัดปัญหาการหยุดชะงัก

บาร์เคลย์ บอกว่าเชื้อโอมิครอนที่แพร่ระบาดสูงหมายความว่าธุรกิจและบริการสาธารณะจะเผชิญกับการหยุดชะงักในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการลาป่วยของพนักงานที่สูงกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม สำนักคณะรัฐมนตรีบอกว่าจนถึงตอนนี้ การหยุดชะงักของภาครัฐส่วนใหญ่ ที่เกิดจากโอมิครอนยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้

ทั้งนี้ ในอังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ผู้ที่มีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวกต้องกักตัวเองเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน และเพื่อยุติการแยกตัวเอง ต้องมีผลตรวจ 2 ครั้งเป็นลบในเวลาห่างกัน 24 ชั่วโมง โดยผลการตรวจครั้งแรก ต้องเกิดขึ้นหลังจากการแยกตัวเองวันที่ 6  ส่วนในสกอตแลนด์ ผู้ติดเชื้อต้องแยกตัวออกไปเป็นเวลา 10 วันเต็ม

ผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รับวัคซีนต้องแยกตัวเองเป็นเวลา 10 วันในทุกพื้นที่ของสหราชอาณาจักร

บางคนเรียกร้องให้มีการนำระบบการแยกตนเองแบบสหรัฐมาใช้ เมื่อผู้คนต้องแยกตัวเองเป็นเวลา 5 วันเท่านั้น แต่สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร(ยูเคเอชเอสเอ) บอกว่า การทำเช่นนั้นไม่ก่อให้เกิดผลดี และอาจทำให้การขาดแคลนพนักงานแย่ลง หากนำไปสู่การทำให้คนติดเชื้อมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีการอธิบายว่าทั้ง 2 ระบบไม่เหมือนกัน โดยในสหราชอาณาจักรนาฬิกาการแยกตัวเองจะเริ่มขึ้นเมื่อบุคคลนั้นมีอาการหรือได้รับผลการทดสอบเป็นบวก แล้วแต่ว่าอะไรจะมาก่อน แต่ในสหรัฐการแยกตัวเองจะเริ่มขึ้นหลังจากมีผลตรวจเป็นบวกแล้วเท่านั้น ซึ่งอาจเป็นเวลาหลายวันหลังจากที่มีอาการปรากฏขึ้นครั้งแรก

ยูเคเอชเอสเอ บอกว่าในวันที่ 6 แบบจำลองของพวกเขาชี้ว่าผู้คน 10-30 % จะยังคงมีเชื้ออยู่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาได้รับผลการทดสอบเร็วแค่ไหนหลังจากมีอาการ ส่วนการสิ้นสุดการแยกตัวเองหลังจาก 7 วัน ตามมาด้วยผลการทดสอบที่เป็นลบ 2 ครั้งนั้น ให้ผลคล้ายกับการแยกตัวเองเป็นเวลา 10 วัน เมื่อผู้คน 5% ยังคงติดเชื้ออยู่

นอกจากนี้ โควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดหนักในอังกฤษ ยังกดดันรัฐบาลปรับแผนรับมือ จึงประกาศให้เด็กนักเรียนต้องที่เข้าเรียนทุกคนสวมหน้ากากอนามัย โดยบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 26 ม.ค.เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโอมิครอน

การนำมาตรการปกปิดปากและจมูกกลับมาใช้ใหม่ชั่วคราวของรัฐบาลอังกฤษครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความวิตกกังวลของผู้ปกครองเกี่ยวกับโรงเรียนที่ยังใช้ระบบการเรียนรู้ในโรงเรียนในภาคเรียนที่กำลังจะมาถึง ประกอบกับ สหภาพเจ้าหน้าที่โรงเรียน 6 แห่งเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อจำกัดการแพร่กระจายของไวรัสในโรงเรียน

สหภาพฯเตือนว่าการสอบระดับประเทศจะตกอยู่ในความเสี่ยงหากไม่มีมาตรการใด ๆ เพิ่มเติม พร้อมทั้งเรียกร้องเรื่องอุปกรณ์การทำความสะอาดอากาศ เรียกร้องให้มีการสนับสนุนทางการเงิน และเรียกร้องขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการทดสอบหาเชื้อไวรัสในสถานที่ทำงาน

โรงเรียนต่างๆ ทั่วสหราชอาณาจักรกำลังกลับมาเปิดการเรียน-การสอนอีกครั้งในสัปดาห์หน้า หลังจากหยุดไปตั้งแต่ช่วงคริสต์มาส โดยกระทรวงศึกษาธิการของอังกฤษเรียกร้องให้นักเรียนเข้าร่วมการรับการตรวจสอบเพื่อหาเชื้อโควิดที่โรงเรียน

นับจนถึงปัจจุบัน อังกฤษเป็นประเทศเดียวในสหราชอาณาจักรที่ไม่ได้แนะนำให้นักเรียนสวมหน้ากากอนามัยในห้องเรียน แต่บางโรงเรียนและหน่วยงานท้องถิ่นบางแห่งในอังกฤษ กำหนดให้ต้องใช้หน้ากากอนามัยในห้องเรียนแล้ว

ในส่วนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในอังกฤษนั้น ล่าสุด บาร์เคลย์ คาดการณ์ว่ารัฐบาลจะไม่ประกาศใช้มาตรการเข้มงวดด้านต่างๆเพิ่มเติมหลังจากผลพวงจากการประกาศใช้แผน B ที่ประกาศใช้ช่วงต้นเดือนธ.ค.ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ 

แผน B ที่ว่าครอบคลุมถึงการกำหนดให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องเข้าไปในที่สาธารณะทุกแห่ง เพิ่มการตรวจหาเชื้อ กำหนดให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน และกระตุ้นให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมมากที่สุด