20 ปีเงินยูโร ความภาคภูมิใจแห่งยุโรป

20 ปีเงินยูโร ความภาคภูมิใจแห่งยุโรป

เมื่อยุโรปลั่นระฆังปีใหม่เมื่อ 20 ปีก่อน 12 ชาติได้โบกมือลาเงินมาร์กเยอรมนี ฟรังก์ฝรั่งเศส เงินลีราและเปเซตา หันมาใช้เงินยูโรสกุลเดียวกัน

วันที่ 1 ม.ค.2545 ธนบัตรและเหรียญยูโรกลายเป็นความจริงของประชาชนราว 300 ล้านคนตั้งแต่เอเธนส์ไปจนถึงดับลิน สามปีหลังจากเคยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในรูปแบบ “เสมือน”สำนักข่าวเอเอฟพีย้อนวันเวลาไปเมื่อ 20 ปีก่อน ที่เริ่มตั้งแต่การจุดพลุเฉลิมฉลองเงินสกุลใหม่ 

เที่ยงคืนวันที่ 1 ม.ค. 2545 มีการจุดพลุดอกไม้ไฟ ดนตรี แสง สี เสียง เฉลิมฉลองการปรับเปลี่ยนสกุลเงินครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ หลายคนไม่ร่วมงานเลี้ยงปีใหม่ตามธรรมเนียม แต่เลือกที่จะเข้าแถวหน้าตู้จ่ายเงินสดด้วยความกระตือรือร้นอยากได้ธนบัตรยูโรใหม่หมาด

ในกรุงเบอร์ลิน ชาวเยอรมันจัดงานพิเศษที่ประตูบรันเดินบวร์ค เพื่อกล่าวทักทายเงินยูโรและร่ำลาเงินมาร์กสุดที่รัก พร้อมๆ กับประชาชนมากถึงหนึ่งล้านคนหลั่งไหลกันมาบนท้องถนนเพื่อเฉลิมฉลองปาร์ตี้ปีใหม่

ไม่เพียงเท่านั้นเงินยูโรยังหมุนเวียนในร้านอาหารและย่านโคมแดงในอัมส์เตอร์ดัม เว้นแต่คอปาร์ตี้ชาวไอริชที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นอยากได้ยูโรมากนัก ยังคงใช้เงินสกุลเดิมซื้อกินเนสส์เบียร์โปรดต่อไป แล้วค่อยมาปวดหัวกับการเปลี่ยนสกุลเงินในวันรุ่งขึ้น

ข้าวของแพงขึ้น

และอย่างที่หลายคนกลัว การเปลี่ยนไปใช้เงินยูโรทันทีจะทำให้ราคาสินค้าทั่วยุโรปสูงขึ้นเป็นระยะๆ ตั้งแต่ตั๋วรถเมล์ในสเปนที่พุ่งขึ้น 33% ไปจนถึงตลาดในฟินแลนด์ ที่เคยขายทุกอย่างในราคา 10 มาร์กกา (1.68 ยูโร) กลายเป็นทุกอย่าง 2 ยูโร สินค้าหลายชนิดราคาแพงขึ้นเล็กน้อยเมื่อหันมาใช้เงินสกุลเดียว

วิม ดุยเซนเบิร์ก ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในขณะนั้น ผู้กล่าวเตือนพ่อค้าไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าจากการเปิดตัวยูโรกล่าวว่า เขาไม่เห็นสัญญาณการเอาเปรียบเป็นวงกว้าง

“ตอนผมซื้อบิ๊กแม็คและสตรอว์เบอร์รี่มิลค์เชคในสัปดาห์นี้ ราคาอยู่ที่ 4.45 ยูโร เท่ากันเป๊ะๆ กับที่ผมเคยซื้อเมื่อสัปดาห์ก่อน”ดุยเซนเบิร์ก กล่าวกับผู้สื่อข่าว

ยุโรปสร้างความประหลาดใจให้ตัวเองด้วยการเปลี่ยนผ่านไปสู่เงินสกุลเดียวอย่างแทบจะไร้รอยต่อ ชาวเยอรมันที่ขึ้นชื่อเรื่องไม่ไว้ใจเงินยูโร และถวิลหาเงินมาร์กของตนเอง กลายเป็นอีกชาติหนึ่งที่กระตือรือร้นกับยูโรมากที่สุด

บทบรรณาธิการ “บิลด์” หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ยอดนิยมของเยอรมนี ประกาศก้อง “เงินใหม่ของเรากำลังเดินหน้าเต็มสปีด ไม่มีปัญหาใดๆ ในการบอกลาเงินมาร์ก ไม่มีน้ำตาให้หลั่ง”

อย่างไรก็ตาม ความปลื้มปริ่มกับยูโรในช่วงแรกๆ ก็มีเหตุให้สะดุดเล็กน้อย เช่น เงินสดขาดแคลน ประชาชนเข้าคิวยาวที่ธนาคาร ไปรษณีย์ และด่านเก็บค่าทางด่วน

ฝรั่งเศสขอให้ประชาชนอย่าแห่กันไปธนาคารนำเงินฟรังก์ที่ซุกไว้ใต้ที่นอนหรือในขวดแยมออกมาแลกเป็นยูโร เพราะยังมีเวลาแลกจากธนาคารพาณิชย์ได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. และแลกจากธนาคารกลางฝรั่งเศสได้ถึงปี 2555

ด้านคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) รายงานปัญหาเล็กน้อยจากการใช้ธนบัตรและเหรียญยูโรมูลค่าไม่สูงในประเทศส่วนใหญ่

กระนั้นดุยเซนเบิร์กมั่นใจว่า วันที่ 1 ม.ค.2545 จะเป็นวันที่ถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ในฐานะจุดเริ่มต้นของยุโรปยุคใหม่

20 ปีผ่านไป ยูโรเป็นเงินสำคัญสกุลหนึ่งของโลก แน่นอนว่าปัญหาธนบัตรปลอมย่อมมีตามมา บนชั้น 23 ของอาคารสำนักงานใหญ่อีซีบีที่นครแฟรงเฟิร์ตของเยอรมนี อีกด้านหนึ่งของประตูรักษาความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญด้านตรวจสอบธนบัตรปลอมกำลังเทธนบัตรที่ปลอมอย่างยอดเยี่ยมในเขตยูโรโซน

ภายในห้องที่ห้ามคนนอกเข้าเด็ดขาด ดูเผินๆ ชวนให้รำลึกถึงห้องทดลองวิทยาศาสตร์โรงเรียนมัธยมปลาย แต่ที่นี่ติดอุปกรณ์อย่างดีแทบคาดไม่ถึง

กล้องจุลทรรศน์ 3 มิติ อุปกรณ์ออกแบบพิเศษความคมชัดสูงวางเรียงรายบนโต๊ะทำงาน สามารถตรวจจับคุณสมบัติพิเศษ 12 จุดที่ฝังอยู่ในธนบัตรยูโรของแท้และระบุความผิดปกติได้

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์ในห้อง ช่วยอีซีบีติดตามเทคนิคปลอมเงินล่าสุดด้วยความหวังว่าต้องก้าวไปให้ไกลกว่า

ฌ็อง มิเชล กรีมาล หัวหน้าฝ่ายพัฒนาสกุลเงินของอีซีบีกล่าวว่า หลังจากเปิดตัวสกุลเงินเดียวของยุโรปมาได้ 20 ปี โอกาสที่พลเมืองในเขตยูโรโซนจะถือครองธนบัตรยูโรปลอมมีน้อยมากๆ และยิ่งหลายปีผ่านไปโอกาสยิ่งน้อยลง

จากข้อมูลอีซีบี ผู้รับผิดชอบออกธนบัตรยูโร ขณะที่ธนาคารกลาง 19 ชาติสมาชิกมีหน้าที่ผลิตเหรียญยูโร ระบุว่า ธนบัตรปลอมลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี2563 ธนบัตรยูโรปลอมราว 460,000 ฉบับถูกนำออกจากระบบในปีที่ผ่านมา ลดลง 18% จากปี 2562 เทียบกับธนบัตรยูโรของจริงปัจจุบันหมุนเวียนกันที่ 2.7 หมื่นล้านฉบับ

กรีมัลอธิบายว่า ความปลอดภัยของธนบัตรยูโรมีส่วนทำให้พลเมืองยูโรโซนไว้ใจในเงินสกุลเดียวนี้อย่างมาก ผลการสำรวจล่าสุดชี้ว่า การสนับสนุนเงินยูโรอยู่ที่ราว 80%

คลังสมบัติใหญ่สุดของห้องแล็บแห่งนี้คือตู้เหล็กขนาดใหญ่ที่ต้องใช้สองคนเปิด ต่างคนต่างรู้รหัสลับของตนแล้วนำมาเปิดเซฟด้วยกัน ข้างในมีกองธนบัตรปลอมเกือบ 1,000 ฉบับ มูลค่าตั้งแต่ 5 ยูโรไปจนถึง 500 ยูโร ที่ถูกศึกษาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

เอริก แลงกวิยาต ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของอีซีบีเล่าว่า ทุกประเทศยูโรโซนต้องมีศูนย์ตรวจธนบัตรปลอมของตนเอง แต่แฟรงค์เฟิร์ตจะถือตัวอย่างที่น่าสนใจมากที่สุด เพราะปลอมแปลงได้ยอดเยี่ยมมาก การวิเคราะห์ที่สำนักงานใหญ่แฟรงค์เฟิร์ตยังช่วยให้ได้ “มุมมองเชิงปริมาณของธนบัตรปลอมที่หมุนเวียนในยุโรป” แลงกวิยาตกล่าว

ข้อค้นพบจะถูกแบ่งปันกับตำรวจ เช่น ยูโรโพล เพื่อช่วยตำรวจตามรอยเครือข่ายธนบัตรปลอม

ทีมวิจัยและพัฒนาของอีซีบีมีหน้าที่พัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยธนบัตรยูโรอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังให้ข้อมูลข้อค้นพบจากแล็บ

“ถ้าเราพบของปลอมใช้เทคโนโลยีบางอย่าง ทีมวิจัยและพัฒนาจะดูว่าเราจะทำอะไรรับมือได้บ้าง” กรีมาลกล่าว แต่ความพยายามก็มีราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือต้องใช้งบประมาณปีละมหาศาล

“แต่การใช้เงินก็เป็นการลงทุนที่ดีเมื่อเทียบกับต้นทุนของวิกฤติธนบัตรปลอม” กรีมาลกล่าวเสริม

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ที่แฟรงค์เฟิร์ตตรวจสอบธนบัตรเพื่อหารายละเอียดที่เล็กที่สุด บนจอคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ธนบัตร 20 ยูโรของแท้หนึ่งฉบับถูกขยายขึ้นเกือบ 70 เท่า เผยให้เห็นคลื่นเล็กๆ อยู่ภายในตัวเลข “20” ดูคล้ายแนวทุ่งนาที่ผ่านการไถแล้วซึ่งค่อนข้างยากหากจะเลียนแบบ

แลงกวิยาตกล่าวว่า พลเมืองไม่มี “สัญชาตญาณในการสังเกตธนบัตรอย่างใกล้ชิด”  นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมอีซีบีจึงพร่ำเรียกร้องให้ประชาชนใช้วิธี “รู้สึก ดู เอียง” เพื่อตรวจสอบว่าธนบัตรในมือเป็นของจริง ไม่จำเป็นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์  การพิมพ์พิเศษสร้างหลักประกันได้ว่า ไม่มีธนบัตรอื่นใดให้ความรู้สึกเหมือนยูโร ถ้ายกธนบัตรส่องกับแสงจะเห็นลายน้ำและแถบเส้นใย เมื่อเอียงธนบัตรโฮโลแกรมและสีภาพจะเปลี่ยน

“ถ้าคุณมองธนบัตรให้ดีๆ ธนบัตรปลอมคุณภาพแย่มาก จึงสังเกตเห็นได้ง่าย” แลงกวิยาตกล่าวทิ้งท้าย