"อินเทล" ขอโทษชาวจีน หลังเลิกใช้สินค้าซินเจียง

"อินเทล" ขอโทษชาวจีน หลังเลิกใช้สินค้าซินเจียง

"อินเทล" บริษัทผลิตชิปรายใหญ่สหรัฐ ออกมาขอโทษชาวจีน หลังบอกซัพพลายเออร์หยุดจัดหาสินค้าและแรงงานจากเขตปกครองตนเองซินเจียง

อินเทลเผยแพร่จดหมายที่ส่งถึงซัพพลายเออร์ประจำปีในเดือนธันวาคมผ่านทางเว็บไซต์ ระบุว่า บริษัทจำเป็นต้องมั่นใจได้ว่า ห่วงโซ่อุปทานของอินเทลไม่ได้ใช้แรงงานหรือสินค้าและบริการใดๆจากเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีนตามข้อบังคับของรัฐบาลต่างๆ

ส่วนบริษัทอินเทลในจีน ซึ่งมีพนักงานราว 10,000 คน ออกแถลงการณ์เป็นภาษาจีนในวีแชทในวันนี้ ชี้แจงว่า จดหมายแจ้งซัพพลายเออร์ดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายของสหรัฐไม่ใช่แถลงการณ์แสดงจุดยืนของบริษัทต่อประเด็นนี้

“เราขอโทษที่สร้างปัญหาให้กับลูกค้า หุ้นส่วน และประชาชนชาวจีน และอินเทลยึดมั่นในการเป็นหุ้นส่วนทางเทคโนโลยีที่น่าเชื่อถือ และส่งเสริมการพัฒนาร่วมกันกับจีน” แถลงการณ์อินเทล ระบุ

คำขอโทษมีขึ้นหลังจากจดหมายแจ้งซัพพลายเออร์ได้จุดกระแสตอบโต้จากรัฐบาลปักกิ่งและโซเชียลมีเดียในจีนวันนี้ โดยมีการรณรงค์ให้คว่ำบาตรสินค้าอินเทล เช่น แคร์รี หวัง นักร้องดังคนหนึ่ง โพสในเวยโป๋ว่า “เขาจะไม่รับเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของอินเทลอีกต่อไป และผลประโยชน์ของชาติอยู่เหนือทุกสิ่ง”

ขณะที่ผู้ใช้เวยโป๋อีหลายคน บอกว่า คำขอโทษของอินเทลเป็นแค่ความพยายามปกป้องยอดขายในจีนเท่านั้น และคนหนึ่งระบุว่า “ความผิดพลาดก็คือ ความผิดพลาด ถอดแถลงการณ์เรื่องซินเจียง” นอกจากนี้แฮชแท็ก “คำขอโทษของอินเทลจริงใจหรือไม่” ได้ติดเทรนด์อันดับต้นๆในเวยโป๋ในช่วงบ่ายวันนี้

นายจ้าว ลี่เจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงวันนี้ว่า ทางการจีนหวังว่าบริษัทอินเทลจะเคารพข้อเท็จจริง และแยกแยะถูกผิดได้ พร้อมชี้แจงว่า ประชาชนในซินเจียงทำงานหนักและกล้าหาญ คุณภาพของสินค้าจากซินเจียงดีเลิศ และเป็นความสูญเสียของบางบริษัท หากเลือกที่จะไม่ใช้สินค้าเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม สหรัฐกล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและกว้างขวางในเขตซินเจียงอุยกูร์ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ซึ่งรวมถึงการบังคับใช้แรงงาน โดยเมื่อเร็วๆนี้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายป้องกันการบังคับใช้แรงงานอุยกูร์ที่ห้ามนำเข้าสินค้าจากซินเจียง ด้วยข้อสันนิษฐานว่าเป็นสินค้าที่ผลิตโดยการบังคับใช้แรงงาน และร่างกฎหมายรอการลงนามจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป