ดาวโจนส์ทรุดหนัก 905 จุด นักลงทุนผวาโควิดสายพันธุ์ในแอฟริกาใต้

ดาวโจนส์ทรุดหนัก 905 จุด นักลงทุนผวาโควิดสายพันธุ์ในแอฟริกาใต้

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันศุกร์ (26พ.ย.)ทรุดตัวหนัก 905.04 จุด เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกเกี่ยวกับข่าวการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลอังกฤษและอิสราเอลประกาศระงับเที่ยวบินจากหลายประเทศในทวีปแอฟริกา

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลง 905.04 จุด หรือ 2.53% ปิดที่ 34,899.34 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500  ร่วงลง 2.27% ปิดที่ 4,594.62 จุดและดัชนีแนสแด็กร่วงลง 2.23% ปิดที่ 15,491.66 จุด

นักลงทุนพากันวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ที่ชื่อว่า B.1.1.529 ซึ่งเป็นไวรัสที่สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ ส่งผลให้รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศระงับเที่ยวบินจาก 6 ประเทศในทวีปแอฟริกาเป็นการชั่วคราวซึ่งได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี และแอฟริกาใต้

 นายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษแถลงว่า "อังกฤษจำเป็นต้องใช้มาตรการป้องกันในเวลานี้ โดยนับตั้งแต่ช่วงเที่ยงของวันศุกร์ที่ 26 พ.ย.เป็นต้นไป ทั้ง 6 ประเทศเหล่านี้จะถูกรวมอยู่ในบัญชีรายชื่อสีแดง (Red List) และเที่ยวบินที่มาจาก 6 ประเทศเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าอังกฤษเป็นการชั่วคราว"

ด้านรัฐบาลอิสราเอลประกาศระงับเที่ยวบินจาก 7 ประเทศในทวีปแอฟริกาซึ่งได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี, โมซัมบิก และแอฟริกาใต้

โดยทำเนียบนายรัฐมนตรีอิสราเอลระบุในแถลงการณ์ว่า "ชาวต่างชาติที่เดินทางมาจาก 7 ประเทศนี้ไม่สามารถเข้าอิสราเอลได้ ส่วนพลเมืองชาวอิสราเอลที่เดินทางกลับมาจากประเทศเหล่านี้ จะต้องกักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 7 วัน แม้ว่าได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ตาม"

ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่

เมื่อเวลา 19.20 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.51% แตะที่ 96.28

ขณะเดียวกัน ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐที่สูงขึ้น ประกอบกับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนตัดสินใจเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวล ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นสมัยที่ 2 นั้น ได้ทำให้บรรดานักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นภายในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐมาตลอดทั้งสัปดาห์