ราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อสหรัฐกับดักการเมืองไบเดน

ราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อสหรัฐกับดักการเมืองไบเดน

ราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อสหรัฐกับดักการเมืองไบเดนขณะนักวิเคราะห์มีความเห็นว่า ตราบใดที่คนอเมริกันยังคงนิยมรถขนาดใหญ่ ปัญหาเรื่องราคาน้ำมันราคาแพงแม้จะมีกลไกตลาดช่วย แต่ก็ยังคงสร้างปัญหาการเมืองแก่ผู้นำต่อไปได้อีกหลายปี

สหรัฐ กำลังเจอปัญหาราคาน้ำมันแพงและเตรียมร่วมมือกับหลายชาติระบายน้ำมันดิบจากคลังสำรองยุทธศาสตร์ เพื่อฉุดราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงในขณะนี้ให้ลดลง

บลูมเบิร์กรายงานเมื่อวันจันทร์ (22 พ.ย.) โดยอ้างแหล่งข่าวหลายแหล่งว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ กำลังเตรียมที่จะประกาศเรื่องการระบายน้ำมันจากแหล่งสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ ร่วมกับประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศในวันนี้

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลของไบเดนได้ออกมาขอให้ประเทศต่าง ๆ รวมถึงจีน พิจารณาปล่อยสต็อกน้ำมันดิบสำรอง เพื่อดึงให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง ขณะที่ทำเนียบขาวก็กดดันกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) ซึ่งมีแผนจะประชุมในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ เพื่อให้รักษาระดับของอุปทานทั่วโลกให้เพียงพอกับความต้องการ

ขณะที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอีกในวันจันทร์ จากรายงานข่าวที่ว่ากลุ่ม โอเปกพลัส อาจจะประเมินเรื่องการลดระดับการผลิตของพวกเขาอีกครั้ง
 

บลูมเบิร์กรายงาน อ้างแหล่งข่าวที่คุ้นเคยกับการประกาศที่รอการดำเนินการว่า ความเคลื่อนไหวของสหรัฐในสัปดาห์นี้ น่าจะได้รับความร่วมมือในการดำเนินการที่คล้ายคลึงกันโดยอินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ แต่เจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวและกระทรวงพลังงานสหรัฐยังไม่ได้ตอบกลับคำขอให้แสดงความคิดเห็นในรายงานข่าวนี้

ด้านหนังสือพิมพ์เซาท์ไชนา มอร์นิ่ง โพสต์ของจีนรายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า สหรัฐเรียกร้องให้จีนระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองเพื่อทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ซึ่งการเรียกร้องนี้มีขึ้นระหว่างที่

ประธานาธิบดีไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ร่วมประชุมทางไกลเมื่อต้นสัปดาห์ โดยสหรัฐต้องการให้จีนเข้าร่วมกับสหรัฐในการปล่อยน้ำมันดิบออกจากคลังสำรอง

ปัจจุบัน สหรัฐมีน้ำมันดิบอยู่ในคลังสำรองทางยุทธศาสตร์มากที่สุดในโลกถึง 727 ล้านบาร์เรล ส่วนจีนมีประมาณ 200 ล้านบาร์เรล ซึ่งหากสองประเทศนี้ระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองก็จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เกาหลีใต้ได้รับคำขอจากสหรัฐให้ปล่อยน้ำมันจากคลังสำรองป้อนตลาดเพื่อพยุงราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเกาหลีใต้กำลังตรวจสอบในเรื่องนี้อย่างละเอียด เนื่องจากเกาหลีใต้ไม่เคยดำเนินการเช่นนี้มาก่อน

ขณะที่ประธานาธิบดีไบเดนกำลังเร่งหาทางทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลง จากปัจจุบันที่เคลื่อนไหวในระดับสูงสุดในรอบ7ปี คะแนนนิยมของเขาก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบปีเช่นกัน โดยลดลงมาอยู่ที่ 44% ตามการสำรวจของรอยเตอร์ส/อิพซอส จึงเรียกได้ว่าราคาน้ำมันแพงกำลังสร้างแรงกดดันให้ผู้นำสหรัฐอย่างมาก และเขาต้องเร่งทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางการเมืองตามมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพรรคเดโมแครตต้องพยายามรักษาคะแนนเสียงข้างมากในสภาไว้จากการเลือกตั้งกลางสมัยในปีหน้า เนื่องจากสหรัฐเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์มากที่สุดในโลกในขณะนี้ จากความนิยมรถยนต์ขนาดใหญ่ การต้องขับรถระยะทางไกล รวมทั้งการขาดระบบขนส่งมวลชนในหลายพื้นที่ของประเทศ 

ขณะที่ราคาเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยในปัจจุบันตามข้อมูลของสมาคมยานยนต์อเมริกัน(เอเอเอ) อยู่ที่ 3.41 ดอลลาร์ต่อแกลลอนหรือประมาณ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าเมื่อปีที่แล้วคือที่ลิตรละราว 18 บาทถึงเกือบเท่าตัว

เมื่อพิจารณาจากความต้องการใช้เชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยต่อบุคคลที่ 5.5 ลิตรต่อวันของคนอเมริกัน ซึ่งมากกว่าผู้คนในประเทศอื่นของโลก การที่ราคาน้ำมันสูงในขณะนี้ ซึ่งมีผลต่อราคาผู้บริโภคกับภาวะเงินเฟ้อ จึงส่งผลต่อคะแนนนิยมในการทำงานของประธานาธิบดีไบเดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะนี้ ทำเนียบขาวพยายามกดดันโรงกลั่นขนาดใหญ่ให้ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ชะลอการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมด้านพลังงาน และขอให้คณะกรรมการการค้าของสหรัฐ(เอฟทีซี)เข้าตรวจสอบเรื่องการกักตุนหรือพฤติกรรมที่ต่อต้านการแข่งขันอย่างเสรี ซึ่งก็ล้วนเป็นเรื่องที่อดีตผู้นำสหรัฐที่ผ่านมาเคยพยายามทำมาแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้งนั้น

อาจารย์ลารี ซาบาโต นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ตั้งข้อสังเกตว่าคนอเมริกันมักคาดหวังว่าประธานาธิบดีควรจะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับราคาน้ำมัน แต่จริงๆแล้วคนอเมริกันควรจะเข้าใจหลักการเรื่องอุปสงค์และอุปทาน

แต่อาจารย์ซาบาโต ก็ยอมรับว่าปัญหาเงินเฟ้อสร้างแรงกดดันทางการเมืองที่มักกัดกร่อนความนิยมในตัวประธานาธิบดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคนอเมริกันมักจะให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจและเรื่องปัญหาปากท้องเป็นหลักในการเลือกตั้งทุกครั้ง 

ตราบใดที่คนอเมริกันยังคงนิยมรถขนาดใหญ่แบบเอสยูวีและยังมีมาตรฐานเรื่องประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ในระดับค่อนข้างต่ำ ปัญหาเรื่องราคาน้ำมันราคาแพงแม้จะมีกลไกตลาดก็ยังคงสร้างปัญหาการเมืองแก่ผู้นำต่อไปได้อีกหลายปี