“วิลาวรรณ มังคละธนะกุล” หญิงไทยคนแรก นั่ง กมธ.กฎหมายยูเอ็น

“วิลาวรรณ มังคละธนะกุล” หญิงไทยคนแรก นั่ง กมธ.กฎหมายยูเอ็น

อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย “วิลาวรรณ มังคละธนะกุล” ผู้สมัครสตรีคนแรกของไทย ได้รับเสียงโหวตคับคั่งเป็นอับดับ 2 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หนุนทำหน้าที่คณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศประชาชาติ โดยมีวาระปี 2566 - 2570

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ตามเวลาสหรัฐ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 76 ณ นครนิวยอร์ก ได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ ดร.วิลาวรรณ เป็นหนึ่งใน 34 ผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ (International Law Commission – ILC) วาระปี 2566 -2570 

ดร.วิลาวรรณ เป็นผู้สมัครสตรีคนแรกของไทยและผู้สมัครสตรีคนเดียวจากภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และนักกฎหมายระหว่างประเทศสตรีคนแรกของอาเซียนที่ได้รับเลือกตั้ง

นายธานี กล่าวว่า การได้รับเลือกตั้งของ ดร. วิลาวรรณ ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยคะแนนเสียงสูงถึง 162 เสียง เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และคิดเป็นเกือบ 85% ของประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมด 193 ประเทศ 

เสียงโหวตนี้ ได้แสดงถึงความสัมพันธ์และความเชื่อมั่นที่ดีตลอดจนเครือข่ายทางการทูตที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับประเทศสมาชิกต่าง ๆ ของสหประชาชาติ รวมทั้วยังมาจากแนวทางและข้อความในการหาเสียงที่ชัดเจน ซึ่งตอบโจทย์สถานการณ์โลกและความจำเป็นของประชาคมระหว่างประเทศ การแสดงความเชื่อมั่นในตัวผู้สมัครของรัฐบาลไทย นอกเหนือจากเรื่องคุณสมบัติส่วนตัว ความรู้ความสามารถในทางกฎหมายระหว่างประเทศของผู้สมัครของไทยที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ดร. วิลาวรรณ ผู้สมัครสตรีของไทย ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาจากอาเซียนและเอเชีย-แปซิฟิก จะทำงานร่วมกับคณะกรรมการกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อพิจารณาประเด็นกฎหมายที่สำคัญและพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศใหม่ ๆ ที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศ เช่น กฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น

การได้รับเลือกตั้งในครั้งนี้ ยังเน้นย้ำถึงบทบาทของไทยในการสนับสนุนการทูตพหุภาคี บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมและความร่วมมือระหว่างประเทศ และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในสถานะ และบทบาทไทยในเวทีโลก และจะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนไทยรุ่นต่อ ๆ ไป ที่จะก้าวขึ้นสู่เวทีระหว่างประเทศมากขึ้นในอนาคต