‘ดาวโจนส์’ร่วง 112 จุดตลาดปรับฐาน-นลท.ขายทำกำไร

‘ดาวโจนส์’ร่วง 112 จุดตลาดปรับฐาน-นลท.ขายทำกำไร

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(9พ.ย.)ปรับตัวร่วงลง 112 จุด โดยตลาดปรับฐาน ขณะที่นักลงทุนขายทำกำไร หลังจากดาวโจนส์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) พุ่งขึ้นในวันนี้ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจหนุนให้เงินเฟ้อดีดตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 112.24 จุด หรือ 0.31% ปิดที่ 36,319.98 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500  ร่วง 16.45 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 4,685.25 จุด และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวลง 95.81 จุด หรือ 0.6% ปิดที่ 15,886.54 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ปิดดีดตัวขึ้นกว่า 100 จุด ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันจันทร์(8พ.ย.) ขานรับสภาคองเกรสสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ

ทั้งนี้ โครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยโครงการดังกล่าวจะรวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณในการก่อสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟ ปัจจัยพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงการอื่นๆ
 

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (พีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ดีดตัวขึ้น 0.6% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีพีพีไอพุ่งขึ้น 8.6% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย.2553 หลังจากดีดตัวขึ้น 8.6% เช่นกันในเดือนก.ย.

ส่วนดัชนีพีพีไอพื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 6.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2553

หุ้นของบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (จีอี) พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยหวังพลิกฟื้นธุรกิจของบริษัท

จีอี เปิดเผยในวันนี้ว่า บริษัทจะแยกกิจการออกเป็นบริษัท 3 แห่ง แบ่งเป็นธุรกิจการบิน, พลังงาน และผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพ หลังจากที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ขณะที่หุ้นของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 0.5% แม้บริษัทเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐได้สั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 เพิ่มเติมอีกจำนวน 1.4 ล้านคอร์ส วงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์

คำสั่งซื้อดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสหรัฐสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวนรวม 3.1 ล้านคอร์ส วงเงิน 2.2 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ได้สั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 1.7 ล้านคอร์ส วงเงิน 1.2 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.