เอเชียเปิดรับนักท่องเที่ยวเน้นทำตลาดยุโรป-อเมริกาแทนจีน

เอเชียเปิดรับนักท่องเที่ยวเน้นทำตลาดยุโรป-อเมริกาแทนจีน

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในหลายประเทศของเอเชียเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากรัฐบาลผ่อนคลายกฏระเบียบด้านการเดินทาง เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในหลายประเทศของเอเชียเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากรัฐบาลผ่อนคลายกฏระเบียบด้านการเดินทาง เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปีนี้ หวังกระตุ้นรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ

แต่น่าเสียดายที่จีน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่หลายประเทศคาดหวังว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เข้ามาใช้จ่ายมากที่สุดกลับเดินทางออกนอกประเทศน้อยเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19ระลอกใหม่ในจีน ทำให้หน่วยงานด้านการท่องเที่ยวหันไปเน้นทำตลาดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปและทวีปอเมริกาแทน

ตอนนี้ จีน ซึ่งช่วงที่ผ่านมาถือเป็นตลาดท่องเที่ยวเอาท์บาวด์ใหญ่สุดของโลกมีการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนแค่ 2%เท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19  อีกทั้ง ทางการจีนยังไม่ได้ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายกฏข้อบังคับด้านการเดินทางทางอากาศในช่วงที่ยังคงใช้นโยบายต่อสู้กับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไม่ยอมอ่อนข้อ

จึงเป็นหน้าที่ของบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจรีสอร์ทและโรงแรมที่ต้องคิดหาวิธีชิงส่วนแบ่งในตลาดท่องเที่ยวโลกที่มีมูลค่าปีละ 255,000 ล้านดอลลาร์ให้ได้ รวมถึงผู้ประกอบการอย่าง“ลากูนา ภูเก็ต” ในประเทศไทย

“ราวิ ชานดราน” ผู้จัดการทั่วไปของลากูนา ภูเก็ต กล่าวว่า ตอนนี้รีสอร์ททั้ง5แห่งของลากูนา ภูเก็ตปรับแผนในการทำตลาดโดยหันไปเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรป สหรัฐ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แทนเพื่อชดเชยกับการสูญเสียรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25-30% 

“จนถึงวันนี้ เรายังไม่ได้ทำการตลาดเป็นพิเศษหรือส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวกับกลุ่มลูกค้าในจีนมากนัก”ชานดราน กล่าว

การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยหายไปประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และข้อมูลจากกระทรวงท่องเที่ยวของไทยระบุว่านักท่องเที่ยวชาวจีนใช้จ่ายเงินด้านการท่องเที่ยวสูงกว่านักท่องเที่ยวชาติใดๆและสูงกว่าอัตราเฉลี่ย ซึ่งทางการไทยหวังว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาเที่ยวประเทศไทยประมาณ 180,000 คนในปีนี้ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวประเทศไทยประมาณ 40 ล้านคน

ขณะที่การระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนทำสถิติใหม่เมื่อวันพุธ(3พ.ย.) โดยมีผู้ติดเชื้อภายในประเทศ 104 คนในช่วง 24 ชม.ที่ผ่านมา และมียอดสะสมระลอกใหม่ 631 คน กระจายใน 16 มณฑลและเขตปกครอง นับตั้งแต่พบคู่สามีภรรยาชาวเซี่ยงไฮ้ติดโควิด-19 หลังเดินทางท่องเที่ยวในภาคเหนือของประเทศ ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีประวัติไปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆและใช้รถไฟในการเดินทาง

การระบาดระลอกใหม่ที่กระจายเกือบครึ่งประเทศ ทำให้ทางการท้องถิ่นหลายแห่งบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ และจำกัดการเดินทางเข้าออกพื้นที่ บริษัทท่องเที่ยวไม่ได้อรับอนุญาตให้จัดทัวร์ข้ามมณฑลและภูมิภาคตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา และทางการจีนยังกำหนดให้ผู้เดินทางจากต่างประเทศต้องกักตัวโดยบางแห่งกำหนดสูงสุดถึง 21 วัน

นักวิเคราะห์มีความเห็นว่า การระบาดระลอกนี้มีความซับซ้อนกว่าคลัสเตอร์สนามบินในเมืองหนานจิงเมื่อเร็วๆนี้ เพราะมีหลายเคสไม่ทราบต้นตอการติดเชื้อ และยังเข้าใกล้ฤดูหนาว รัฐบาลปักกิ่งเองยังยอมรับว่า เป็นความท้าทายใหญ่ที่สุดในช่วงที่เตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวในเดือน ก.พ.ปีหน้า

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคน เชื่อว่า จีนจะยังไม่สามารถยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ได้เวลานี้ 

นายแพทย์จง หนานซาน ผู้เชี่ยวชาญโรคทางเดินหายใจของจีน ที่มีบทบาทกำหนดยุทธศาสตร์ควบคุมการระบาดของโควิด-19 ช่วงต้นปี 2563 บอกว่า นโยบายของจีนจะยังคงต้องดำเนินต่อไปอีกนาน แต่นานเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับการควบคุมการระบาดในทั่วโลก

“แม้นโยบายกำจัดโควิดเป็นศูนย์อาจสร้างความเสียหาย แต่ปล่อยให้ไว้รัสแพร่ระบาดจะสร้างความสูญเสียและความเสียหายมากกว่า การคลายข้อบังคับที่นำไปสู่การระบาดใหม่ จนต้องกลับมาควบคุมใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายกลับไปกลับมาแบบนี้อาจสร้างความเสียหายยิ่งกว่า”นายแพทย์จง กล่าว

ขณะที่“ลิซ ออร์ติกูเอรา”ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ)สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก(พาต้า)กล่าวว่า แหล่งท่องเที่ยวทั่วโลกจำเป็นต้องปรับตัวด้วยการหันไปทำตลาดกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และตอบสนองวัฒนธรรมที่แตกต่างกันให้ได้ 

อย่างกรณีของมัลดีฟส์ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนถึงความสำเร็จในการปรับตัวของธุรกิจท่องเที่ยวในช่วงที่โรคโควิด-19ระบาด โดยประเทศในมหาสมุทรอินเดียแห่งนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในงานเทรดแฟร์และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากรัสเซียและอินเดียเข้าไปเที่ยวตามรีสอร์ทหรูหราและชื่นชมความงามของน้ำทะเลมากขึ้น

ขณะที่“ฟอร์วอร์ดคีย์ส” บริษัทให้บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว ประเมินว่าต้องใช้เวลาถึงปี 2568 ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาท่องเที่ยวในต่างประเทศอย่างคึกคักได้เท่ากับระดับก่อนโควิด-19 ระบาด ซึ่งทำให้สายการบินต่างๆต้องปรับเส้นทางบินใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของตลาด เช่นกรณีของการบินไทย และสายการบินการูดา ของอินโดนีเซีย ที่ต้องลดเที่ยวบิน ลดฝูงบิน เพื่อปรับโครงสร้างหลังจากนักท่องเที่ยวจีนหดหาย

ด้าน“วูลฟ์กัง จอร์จ อัลท์” ซีอีโอจากสถาบันวิจัยด้านการท่องเที่ยวจีน ให้ความเห็นว่า “ตลาดท่องเที่ยวโลกจะเปลี่ยนไป การท่องเที่ยวของชาวจีนในปี2565จะต่างจากปี 2562 จะไม่ใช่การท่องเที่ยวที่เน้นช็อปปิ้งและเป็นการท่องเที่ยวแบบเร่งรีบอีกต่อไป”