‘ดาวโจนส์’ทรุด 266 จุดเหตุตลาดปรับฐานหลังทำนิวไฮ

‘ดาวโจนส์’ทรุด 266 จุดเหตุตลาดปรับฐานหลังทำนิวไฮ

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ (27ต.ค.)ร่วงลง 266จุดโดยตลาดวอลล์สตรีทปรับฐาน หลังจากดีดตัวแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์วานนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 266.19 จุด หรือ 0.74% ปิดที่ 35,490.69 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 23.11 จุด หรือ 0.51% ปิดที่ 4,551.68 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 0.12 จุด หรือ 0.00% ปิดที่ 15,235.84 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 วัน หลังจากดีดตัวก่อนหน้านี้ขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน

บริษัทจำนวน 30% ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว โดย 82% ในจำนวนดังกล่าวมีกำไรที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ขณะที่ 80% มีรายได้ที่สูงกว่าคาด และนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 35%

ราคาหุ้นของเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% ในการซื้อขายวันนี้ หลังเมอร์คอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกสามารถผลิตยาโมลนูพิราเวียร์โดยไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตี ซึ่งจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมาก

องค์การสิทธิบัตรยา (เอ็มพีพี) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยในวันนี้ว่า เอ็มพีพีบรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ โดยบริษัททั้งสองจะอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกผลิตยาโมลนูพิราเวียร์เพื่อให้ประเทศยากจนสามารถเข้าถึงยาดังกล่าว
 

การบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ จะทำให้เอ็มพีพีสามารถมอบสิทธิบัตรการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์แก่บริษัทที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และได้รับการอนุมัติให้ผลิตยาดังกล่าว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เมอร์คได้ซื้อลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการผลิตและจำหน่ายยาโมลนูพิราเวียร์แก่ประเทศต่างๆทั่วโลกในเดือนพ.ค.2563

นอกจากนี้ บริษัทเมอร์คและบริษัทริดจ์แบ็คจะไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตีจากบริษัทที่ผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ ตราบใดที่องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) มีความเห็นว่าโรคโควิด-19 ยังคงถือเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

การทำข้อตกลงในวันนี้มีขึ้น หลังจากที่เมอร์คได้มอบสิทธิบัตรการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ให้แก่บริษัทยาของอินเดียจำนวน 7 แห่ง

ก่อนหน้านี้ มีการคาดการณ์ว่ายอดขายยาโมลนูพิราเวียร์ทั่วโลกจะสร้างรายได้มหาศาลให้แก่เมอร์ค ขณะที่รัฐบาลสหรัฐสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 1.7 ล้านคอร์ส คิดเป็นวงเงิน 1,200 ล้านดอลลาร์