ดาวโจนส์ทะยาน 236 จุดขานรับตัวเลขศก.แกร่ง

ดาวโจนส์ทะยาน 236 จุดขานรับตัวเลขศก.แกร่ง

ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธ(15ก.ย.)พุ่งขึ้น 236 จุด ขานรับตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งโดยดัชนีภาคการผลิตพุ่งขึ้นสู่ระดับ 34.3 ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 236.82 จุด หรือ 0.68% ปิดที่ 34,814.39 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 37.65 จุด หรือ 0.85%  ปิดที่ 4,480.70 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 123.77 จุด หรือ 0.82% ปิดที่ 15,161.53 จุด

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ที่แข็งแกร่งในวันนี้ โดยรายงานว่า ดัชนีภาคการผลิตพุ่งขึ้นสู่ระดับ 34.3 ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 18.0 จากระดับ 18.3 ในเดือนส.ค.
 

ดัชนีภาคการผลิตยังคงอยู่เหนือระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน รวมทั้งความเชื่อมั่นของบริษัทในภาคการผลิต

หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน

อย่างไรก็ดี หุ้นแอ๊ปเปิ้ล อิงค์ร่วงลง 0.6% หลังการเปิดตัว iPhone 13 วานนี้

ดัชนีดาวโจนส์ปิดดิ่งลงเกือบ 300 จุดเมื่อวันอังคาร(14ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐอาจปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทจดทะเบียน

ทั้งนี้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครตได้เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล จากระดับ 21% สู่ระดับ 26.5% รวมทั้งเสนอให้ปรับขึ้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) และเงินปันผล สู่ระดับ 28.8% ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณวงเงิน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์

นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า หากข้อเสนอการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลผ่านความเห็นชอบในสภาคองเกรส จะทำให้รายได้ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ลดลง 5% ในปี 2565

แม้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นในวันนี้ แต่สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย.

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก “Stock Trader's Almanac” ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2493 เดือนก.ย.เป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี และนับตั้งแต่ปี 2488 ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.56% ในเดือนก.ย. ขณะที่เดือนก.พ.เป็นอีกหนึ่งเดือนที่ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวลง

สำหรับในเดือนก.ย.ปีนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงแล้วเกือบ 2% ส่วนดัชนี S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 1% โดยมีแนวโน้มเป็นเดือนที่มีการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2563

นักวิเคราะห์เตือนว่า หลังจากปรับตัวขึ้น 8 เดือนติดต่อกัน ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกำลังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการปรับฐานจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่เฟดอาจประกาศปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ในการประชุมเดือนนี้, การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

นางลิซ แอน ซอนเดอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Charles Schwab เตือนว่าตลาดหุ้นอาจปรับฐานมากกว่า 3% หรือ 4% ในเดือนนี้

นอกจากนี้ สถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย. หากเป็นปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.73% ในเดือนก.ย.ของปีดังกล่าว