'เดลต้า' ระบาดหนักสกัดเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย

'เดลต้า' ระบาดหนักสกัดเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย

'เดลต้า' ระบาดหนักสกัดเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชีย ขณะมิซูโฮะ ซิเคียวริตีส์ ประเมินว่าโรคระบาดส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเยน (9,100 ล้านดอลลาร์)

เว็บไซต์นิกเคอิ เอเชียนำเสนอรายงานวิเคราะห์เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่กำลังสร้างปัญหาให้แก่หลายประเทศในเอเชีย จนทำให้มีการออกมาตรการคุมเข้มรูปแบบต่างๆออกมารับมือ รวมถึงการล็อกดาวน์ จนทำให้บรรดานักลงทุนทั่วโลกที่ลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียพากันถอยหนี และหันไปลงทุนในตลาดอื่นที่มีความปลอดภัยมากกว่าแทน

บรรดาผู้จัดการกองทุนและนักวางกลยุทธทั้งหลายมองว่าแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้จะดีขึ้นหรือเลวร้ายลงขึ้นอยู่กับความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในภูมิภาค แต่ถึงแม้ว่าภูมิภาคนี้จะดิ้นรนเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนให้ไหลเข้ามาในภูมิภาคได้แต่ก็ต้องเจอกับผลกระทบจากกรณีที่สหรัฐใช้นโยบายเข้มงวดทางการเงิน และจีนที่ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายปราบปรามบริษัทขนาดใหญ่สุดของตัวเอง ดัชนีนิกเคอิของญี่ปุ่นปรับตัวร่วงลงกว่า 6% นับตั้งแต่ปลายเดือนมิ.ย.และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีนิกเคอิปรับตัวร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในปีนี้ ส่วนดัชนีKospi ของเกาหลีใต้ ร่วงลง 7% และดัชนั PSE ของฟิลิปปินส์ ร่วงลงเกือบ4% ส่วนดัชนี MSCI All Country Asia ดิ่งกว่า8% หลังจากนักลงทุนในหลายตลาดพร้อมใจกันเทขายหุ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับดัชนี MSCI USA และ MSCI Euro ที่ยังคงเคลื่อนไหวในแดนบวก

“การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นสาเหตุทำให้กระแสเงินลงทุนไหลออกจากภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สืบเนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนยังถือว่าต่ำ”โคตะ ฮิรายามะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสตลาดเกิดใหม่จากเอสเอ็มบีซี นิกโก ซิเคียวริตีส์ ในกรุงโตเกียว กล่าว

162985479432

ขณะที่รัฐบาลประเทต่างๆเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนในประเทศ แต่การตอบสนองอย่างทันท่วงทีต่อการระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตาคือการล็อกดาวน์และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของหลายประเทศก็ยิ่งทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจมีความยากลำบากมากขึ้น

ญี่ปุ่น ซึ่งมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขยายภาวะฉุกเฉินให้ครอบคลุมกรุงโตเกียวและอีก5พื้นที่ไปจนถึงเดือนก.ย.ขณะเดียวกันก็ขยายภาวะฉุกเฉินเพิ่มขึ้นอีก 7 จังหวัด ซึ่งถือเป็นการขยายภาวะฉุกเฉินในเมืองหลวงครั้งที่2 โดยกรุงโตเกียวอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของสถานการณ์ฉุกเฉินมาตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. และด้วยสถานการณ์แบบนี้ มิซูโฮะ ซิเคียวริตีส์ จึงประเมินว่าโรคระบาดส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจของประเทศคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเยน (9,100 ล้านดอลลาร์)

ขณะที่จีน กำลังเจอประสบการณ์พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.โดยทางการปักกิ่งพบว่ามีพื้นที่ต่างๆกว่า10แห่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นแหล่งแพร่โรคโควิด-19 จึงประกาศใช้มาตรการคุมเข้มด้านการเดินทางพร้อมทั้งเข้มงวดด้านการกักกันผู้เดินทาง และทำการตรวจสอบประชาชนจำนวนมากทันทีหากพบว่ามีผู้ติดเชื้อ

ยอดขายจากธุรกิจค้าปลีกและผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรมในเดือนก.ค.ปรับตัวร่วงลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ สิ่่งเหล่านี้ทำให้บรรดานักลงทุนพากันวิตกกังวลและไม่ได้วิตกกังวลแค่เศรษฐกิจจีนเท่านั้นแต่กังวลไปถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาคที่มีความเชื่อมโยงกัน

“มาซามิตสุ โอห์กิ” หัวหน้าผู้จัดการพอร์ทลงทุนจากไฟว์สตาร์ แอสเส็ต แมเนจเมนท์ ในกรุงโตเกียว กล่าวว่า แนวโน้มตลาดเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี ตลาดหุ้นถูกรุมเร้าด้วยปัจจัยลบ ที่รวมถึงการระบาดของโรคโควิด-19ที่กลับมาระบาดหนักขึ้น และการปราบปรามบริษัทชั้นนำของรัฐบาลจีน ประมาณเดือนมิ.ย.มีตัวแปรที่เป็นความเสี่ยงมากมายที่สร้างความตึงเครียดแก่การซื้อขายหุ้น

162985481529

แต่นักลงทุนไม่ได้ล่าถอยจากตลาดหุ้นอย่างเดียว ตลาดเงินก็เป็นแหล่งลงทุนอีกที่ที่นักลงทุนพากันถอนเงินทุนหนี โดยเมื่อวันที่ 10 ส.ค.เงินบาทของไทยอ่อนค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในรอบกว่า 3 ปี เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้น4เท่านับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ทำให้ความหวังที่จะฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมลายหายไป และส่งผลกระทบโดยตรงต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ

ด้านเงินวอนของเกาหลีใต้ก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับเปโซฟิลิปปินส์ที่อ่อนค่าลงเกือบ50% ตลอดช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยกรุงมะนิลาอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา และรัฐบาลขยายคำสั่งห้ามนักเดินทางจาก10ประเทศ ที่รวมถึง อินเดียเข้าประเทศ ส่งผลให้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปีนี้เหลือขยายตัวแค่ 4-5%จากก่อนหน้านี้ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 6-7%
ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรของประเทศนั้น ไทยฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบ2โดสไปได้ประมาณ 8%ของประชากรทั้งประเทศส่วนฟิลิปปินส์อัตราการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอยู่ที่ประมาณ 12%

บรรดานักวางกลยุทธตลาดส่วนใหญ่ มองว่าตลาดหุ้นเอเชียจะอยู่ในช่วงขาลงหรืออยู่ในภาวะซบเซา ขณะที่นักลงทุนยังกล้าๆกลัวๆที่จะลงทุนเพราะ3ปัจจัยคือ ความไม่คืบหน้าในการฉีดวัคซีนให้ประชากรในหลายประเทศ ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ และความเพียงพอของโรงพยาบาลที่จะรองรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยเดียวกับที่รัฐบาลของประเทศต่างๆใช้ในการตัดสินใจว่าจะผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์หรือไม่

“ตลาดหุ้นเอเชียยังคงอยู่ในภาวะซึมเซาและไม่แน่นอนแบบนี้ต่อไป”แฟรงค์ เบนซิมรา หัวหน้าแผนกกลยุทธด้านหุ้นในเอเชียของโซซิเอเต เจนเนอราล ในฮ่องกง ให้ความเห็น