เปิดกำหนดการ 'คามาลา แฮร์ริส' เยือน'สิงคโปร์-เวียดนาม'

เปิดกำหนดการ 'คามาลา แฮร์ริส' เยือน'สิงคโปร์-เวียดนาม'

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริสของสหรัฐ เริ่มต้นเดินทางเยือนสิงคโปร์-เวียดนาม ที่สหรัฐเคยเร่งนำเฮลิคอปเตอร์อพยพคนออกไปเมื่อหลายสิบปีก่อน เหมือนกับเหตุการณ์ตอนนี้ที่อัฟกานิสถาน

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า แผนการเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของรองประธานาธิบดีสหรัฐ “คามาลา แฮร์ริส” ถูกกำหนดนานมากก่อนที่ตาลีบันยึดกรุงคาบูลได้เมื่อสุดสัปดาห์ก่อนที่ทำให้สหรัฐต้องเสียหน้า

ขณะที่ทางการย้ำว่าที่เลือกเวียดนามเพราะกังวลเรื่องความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังมาถึง ไม่ใช่บาดแผลตอนไซ่ง่อนแตกเมื่อปี 2518 ตอนที่เฮลิคอปเตอร์สหรัฐขนคนรอบสุดท้ายจากหลังคาสถานทูตขณะกองทัพเวียดกงรุกคืบ

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวผู้ไม่เปิดเผยนามรายหนึ่งระบุ “รองประธานาธิบดีให้ความสำคัญกับภัยคุกคามในอนาคตไม่ใช่อดีต” พร้อมยอมรับว่าขณะนี้นโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน คือการแก้ไขวิกฤติที่สนามบินคาบูล ที่ทหารสหรัฐไม่กี่พันนายพยายามอพยพพลเมืองอเมริกันและพันธมิตรชาวอัฟกันออกนอกประเทศ

อย่างไรก็ตาม ทางการเชื่อมั่นว่าความเสื่อมถอยของสหรัฐในอัฟกานิสถานไม่ทำลายความเชื่อมั่นของพันธมิตรต่อความมุ่งมั่นในเป้าหมายด้านยุทธศาสตร์ทั่วเอเชียของสหรัฐทั่วภูมิภาคเอเชีย

“เราเชื่อมั่นว่าพันธมิตรของเราทั่วอินโด-แปซิฟิกมองว่า สหรัฐคือหุ้นส่วนผู้แน่วแน่ และนี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่รองประธานาธิบดีจะตอกย้ำในการเดินทางเยือนครั้งนี้” เจ้าหน้าที่อีกรายเผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี

ทั้งนี้ แฮร์ริส ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย มารดาเกิดในอินเดียจะเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ไปเยือนเวียดนาม กำหนดการเริ่มต้นที่การเยือนสิงคโปร์ในวันจันทร์ (23 ส.ค.) พบกับประธานาธิบดีฮาลิมาห์ ยาค็อบ และนายกรัฐมนตรีลี เซียนหลุง จากนั้นไปที่ฐานทัพเรือชางงี แสดงสุนทรพจน์กับลูกเรือยูเอสเอส ทัลซา ตอกย้ำความรับผิดชอบด้านความมั่นคงของสหรัฐต่อสิงคโปร์

คืนวันอังคาร (24 ส.ค.) ถึงกรุงฮานอย รุ่งเช้า (25 ส.ค.) ประชุมร่วมกับรัฐบาลเวียดนามและร่วมพิธีเปิดศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐสาขาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากนั้นประชุมตัวแทนสมาชิกชาติอาเซียนเรื่องการรับมือโควิด-19 ของโลก

วันพฤหัสบดี (26 ส.ค.) ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของภารกิจ รองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะพบกับตัวแทนภาคประชาสังคมในเวียดนาม “เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญที่สหรัฐสนับสนุนภาคประชาสังคมในฐานะผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสังคม”