ตึงเครียดตอ.กลางจุดเสี่ยงแหล่งสำรองน้ำมันญี่ปุ่น

ผลการตรวจสอบของรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ บ่งชี้ว่า หนึ่งในห้าของปริมาณน้ำมันดิบสำรองของญี่ปุ่นอาจจะประสบปัญหาในการเข้าถึงในช่วงฤดูหนาว(เดือนก.พ.-มี.ค.)ทำให้ทางการญี่ปุ่นต้องประเมินความพร้อมเกี่ยวกับวิกฤตพลังงานในตะวันออกกลางใหม่
นับจนถึงเดือนต.ค.ปีที่แล้ว ปริมาณน้ำมันสำรองโดยรวมของญี่ปุ่นอยู่ที่ 515.64 ล้านบาร์เรล เพียงพอกับความต้องการบริโภคภายในประเทศเป็นเวลา 234 วัน โดยที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่น ได้บริหารจัดการปริมาณน้ำมันสำรองประมาณ 60% ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ 10 แห่ง โดยในจำนวนนี้มีแหล่งน้ำมันสำรอง 4 แห่งที่อาจมีปัญหาในการเข้าถึงในช่วงฤดูหนาวเนื่องจากเหตุโจมตีบริเวณใกล้ช่องแคบฮอร์มุซ เมื่อเดือนมิ.ย.
การตรวจสอบแหล่งน้ำมันสำรองครั้งนี้ ทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องเร่งดำเนินการขั้นฉุกเฉินเพื่อวางแผนด้านพลังงานให้รอบคอบมากขึ้น ท่ามกลางปัญหาขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่แม้จะบรรเทาความร้อนแรงลงในระดับหนึ่งแต่ยังไม่ถือว่าอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยและวางใจได้ว่าสองประเทศนี้จะไม่ปฏิบัติการตอบโต้กันด้วยกำลังทหาร ประกอบกับประมาณ 90% ของน้ำมันดิบที่ญี่ปุ่นนำเข้ามาใช้ในประเทศนั้น ล้วนนำเข้าจากหลายประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางแทบทั้งสิ้น
เมื่อครั้งที่เกิดเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันบริษัทซาอุดิอารามโค กระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่น ยืนยันว่า ญี่ปุ่นจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักหากว่าการโจมตีโรงกลั่นลุกลามจนนำไปสู่การที่อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ เนื่องจากญี่ปุ่นมีปริมาณน้ำมันสำรองมากพอสำหรับการบริโภคกว่า 200 วัน และมีก๊าซแอลเอ็นจีสำรองมากพอบริโภค 70 วัน
กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นยังมีความเห็นว่า การขนส่งน้ำมันจะไม่หยุดชะงักนานนัก แม้ว่าจะมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ พร้อมกับย้ำว่ารัฐบาลญี่ปุ่นพร้อมนำเข้าพลังงานจากช่องทางอื่นๆ จากปกติที่ต้องนำเข้าน้ำมัน 80% ผ่านทางช่องแคบฮอร์มุซ
“ไม่ใช่เรื่องฉลาดที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพราะอิหร่านต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก การทำแบบนั้นเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย"กระทรวงต่างประเทศของญี่ปุ่น ระบุ
รัฐบาลญี่ปุ่น ยังเห็นว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรที่มีประสิทธิภาพกับอิหร่าน เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านทำอะไรที่เป็นการยั่วยุ และควรใช้มาตรการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งญี่ปุ่นพร้อมให้ความร่วมมือ และญี่ปุ่นยังคงเชื่อมั่นว่าจำเป็นต้องแก้ปัญหานิวเคลียร์ด้วยการเจรจาอย่างสันติ
“โตชิมิตสึ โมเตกิ” รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น จะเดินทางไปยังเมืองซานฟรานซิสโกในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือกับนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเกี่ยวกับสถานการณ์ตะวันออกกลางและเกาหลีเหนือ โดยการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอังคารหน้า (14ม.ค.)มีขึ้นหลังจากที่อิหร่านยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพสหรัฐในอิรัก เพื่อตอบโต้ที่กองทัพสหรัฐปลิดชีพนายพลระดับสูงของอิหร่าน สร้างความวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งที่อาจลุกลามในตะวันออกกลางซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันประมาณ 1 ใน 3 ของโลก
ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐและมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับอิหร่านมายาวนาน พยายามที่จะดำเนินบทบาทในฐานะคนกลางในการไกล่เกลี่ยความข้ดแย้งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านปี 2558 ซึ่งจำกัดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเพื่อแลกกับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอิหร่าน ตัดสินใจไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดในเรื่องของการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมที่อิหร่านเคยตกลงไว้กับชาติมหาอำนาจซึ่งได้แก่จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และรัสเซีย
“โมเตกิ”อาจบอกกับนายปอมเปโอด้วยว่า ญี่ปุ่นตัดสินใจที่จะส่งเรือพิฆาต 1 ลำของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลของญี่ปุ่น และเครื่องบินลาดตระเวนหลายลำไปยังอ่าวโอมานและช่องแคบบับเอลมันเดบ แทนการเข้าร่วมในกองกำลังที่นำโดยสหรัฐ เพื่อปกป้องการเดินเรือพาณิชย์ใกล้ช่องแคบฮอร์มุซ
เมื่อปลายเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี ของอิหร่าน เยือนกรุงโตเกียวอย่างเป็นทางการ ต่อจากประธานาธิบดีโมฮัมหมัด คาตามี เมื่อปี 2543 โดยได้พบและหารือกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ เกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน และการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับทวิภาคี ตอกย้ำว่าญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับที่แน่นแฟ้นกับอิหร่าน
หนึ่งในกลยุทธหลีกเลี่ยงผลกระทบรุนแรงจากปัญหาขาดแคลนน้ำมันของญี่ปุ่นคือการที่บริษัทพลังงานชั้นนำของประเทศอย่างเจเอ็กซ์ทีจี โฮลดิงส์ และอินเพ็กซ์เตรียมเข้าไปลงทุนในตลาดน้ำมันดิบแห่งใหม่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เจเอ็กซ์ทีจี เป็นบริษัทน้ำมันกลั่นรายใหญ่สุดของญี่ปุ่น ส่วนอินเพ็กซ์ เป็นบริษัทสำรวจขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติระดับต้นๆของประเทศ เตรียมเข้าซื้อหุ้นในบริษัทไอซีอี ฟิวเจอร์ส อาบู ดาบี ที่จะเปิดซื้อขายน้ำมันอย่างเป็นทางการในครึ่งแรกของปีนี้
นอกจากนี้ มีบริษัทพลังงานชั้นนำของโลกอย่าง โรยัล ดัทช์ เชลล์ บีพี และปิโตรไชนาอยู่ในกลุ่มนักลงทุน9กลุ่มที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดค้าน้ำมันแห่งใหม่นี้ด้วย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคตะวันออกกลาง




