อีก ‘257 ปี’ หญิงทำงานเสมอภาคชาย

อีก ‘257 ปี’ หญิงทำงานเสมอภาคชาย

แม้เสียงเรียกร้องให้การปฏิบัติต่อผู้หญิงในที่ทำงานเท่าเทียมกับผู้ชายจะมากขึ้นทุกทีๆ แต่ผลการสำรวจล่าสุดของเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม (ดับเบิลยูอีเอฟ) พบว่า ผู้หญิงอาจต้องรอนานกว่า 200 ปี กว่าจะได้สัมผัสกับความเสมอภาคในการทำงาน

รายงานดัชนีช่องว่างระหว่างเพศโลก ฉบับล่าสุดจากดับเบิลยูอีเอฟ เผยแพร่วานนี้ (17 ธ.ค.) พบว่า แม้ผู้หญิงจะค่อยๆ ปิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศในหลายมิติ เช่น การเมือง สุขภาพ และการศึกษา แต่ความเหลื่อมล้ำทางเพศในการทำงานจะมีต่อไปอีก 257 ปีจนถึง พ.ศ.2789 โดยความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศในสถานประกอบการทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2561 ที่ผ่านมา ที่ตอนนั้นดูเหมือนว่าต้องใช้เวลา 202 ปีในการขจัดให้หมดสิ้นไป

รายงานฉบับนี้ติดตามสถานการณ์ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงกับชายใน 153 ประเทศ จาก 4 ด้านได้แก่ การศึกษา สุขภาพ โอกาสทางเศรษฐกิจ และการเอื้ออำนาจทางการเมือง พบว่า ความเหลื่อมล้ำโดยรวมลดลง ดับเบิลยูอีเอฟคาดว่าต้องใช้เวลา 99.5 ปีผู้หญิงจึงจะเท่าเทียมชายโดยเฉลี่ย ลดลงจาก 108 ปีในรายงานปี 2561

กระนั้น ดับเบิลยูอีเอฟยอมรับว่า แม้บางภาคส่วนจะปรับตัวขึ้น แต่หลายส่วนก็ยังล้าหลัง

เมื่อพิจารณารายด้าน ด้านการศึกษาดีขึ้นกว่า 96% และอาจขจัดให้หมดสิ้นไปได้ภายในเวลาแค่ 12 ปี

ในหมวดสุขภาพและการอยู่รอดมีช่องว่างเล็กน้อย แต่ยังไม่แน่ชัดว่าต้องใช้เวลายาวนานเท่าใด หญิงและชายจึงจะเท่าเทียมกัน เนื่องจากปัญหายังยืดเยื้อในประเทศที่มีประชากรมากอย่างจีนและอินเดีย

157662946243

ขณะเดียวกันการเมืองเป็นด้านที่ก้าวหน้าน้อยที่สุดนับจนถึงตอนนี้ แต่ก็ปรับตัวดีขึ้นมากที่สุดในปีที่ผ่านมา

ปี 2562 ผู้หญิงเข้าไปเป็น ส.ส. 25.2% และเป็นรัฐมนตรี 22.1% เทียบกับในปี 2561 ตัวเลขอยู่ที่ 24.1% และ 19% ตามลำดับ แต่สถานการณ์ในที่ทำงานไม่สวยงามแบบนี้ รายงานตรวจสอบจากหลายๆ ปัจจัย รวมทั้งโอกาสและค่าจ้าง พบว่า ต้องใช้เวลาถึง 257 ปี จึงจะเกิดความเสมอภาคทางเพศในที่ทำงาน

พัฒนาการในมุมบวก เช่น แรงงานมีทักษะและเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น แต่การมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานและผลตอบแทนทางการเงินที่เป็นไปในทิศทางตรงข้ามเข้าไปถ่วงดุลกับพัฒนาการเชิงบวกดังที่กล่าวมา โดยเฉลี่ยทุกวันนี้มีผู้ใหญ่เพศหญิงในตลาดแรงงานเพียง 55% เทียบกับผู้ชาย 78% ค่าเฉลี่ยทั่วโลกการทำงานเดียวกันในตำแหน่งเดียวกัน ผู้หญิงทำงานน้อยกว่าผู้ชาย 40%

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาช่องว่างด้านรายได้ในกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนากลับเพิ่มขึ้น

ความก้าวหน้าในแต่ละประเภทแตกต่างกันไปตามประเทศและภูมิภาค ประเทศยุโรปตะวันตกอาจปิดช่องว่างระหว่างเพศโดยรวมได้ใน 54.4 ปี แต่ประเทศในตะวันออกกลางและอเมริกาเหนือต้องใช้เวลาเกือบ 140 ปี

ในภาพรวมกลุ่มประเทศนอร์ดิกยังมีคะแนนนำอีกครั้งหนึ่ง ไอซ์แลนด์เป็นประเทศที่หญิงชายเท่าเทียมกันมากที่สุด ตามด้วยนอร์เวย์ ฟินแลนด์ และสวีเดน ส่วนประเทศที่เหลื่อมล้ำกันมากที่สุด ได้แก่ ซีเรีย ปากีสถาน อิรัก และเยเมน

ในบรรดา 20 เขตเศรษฐกิจก้าวหน้า เยอรมนีทำผลงานได้ดีที่สุด อยู่ในอันดับ 10 ของโลก ตามด้วยฝรั่งเศส อันดับ 15 แอฟริกาใต้ อันดับ 17 แคนาดา อันดับ 19 และอังกฤษ อันดับ 21

ส่วนสหรัฐยังคงถดถอยต่อเนื่อง ร่วงลง 2 อันดับไปอยู่ที่ 53 รายงานระบุว่า ผู้หญิงอเมริกันยังคงดิ้นรนขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำระดับสูงในภาคธุรกิจ บทบาทการเป็นผู้นำทางการเมืองก็น้อยด้วยเช่นกัน

ในเอเชีย เว็บไซต์นิกเคอิรายงานว่า ญี่ปุ่นมีช่องว่างระหว่างชายหญิงมากที่สุดในบรรดาเขตเศรษฐกิจก้าวหน้า ร่วงลงมา 11 อันดับอยู่ที่ 121 ตามหลังเกาหลีใต้และจีน อยู่อันดับ 144 ในด้านการเอื้ออำนาจทางการเมือง ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ผู้หญิงเข้าไปนั่งในสภาเพียง 10% ถือว่าต่ำสุดประเทศหนึ่งของโลก ในคณะรัฐมนตรี 18 คน มี รมต.หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น แถมในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ก็ไม่มีผู้นำหญิงเลย

157662947716

ถึงขณะนี้ช่องว่างระหว่างเพศของญี่ปุ่นถือว่ามากที่สุดในบรรดาเขตเศรษฐกิจก้าวหน้าทั้งมวล ผู้หญิงดำรงตำแหน่งผู้นำระดับสูงเพียง 15% แต่รายได้เพียงครึ่งหนึ่งของผู้ชาย แถมยังต้องใช้เวลามากกว่าชายกว่า 4 เท่าในการทำงานบ้านที่ไม่มีรายได้

สิงคโปร์ปีนี้ก้าวหน้าขึ้นมาก ขยับขึ้นมา 13 อันดับอยู่ที่ 54 ของโลก ผลจากการปรับปรุงในทุกๆ ด้าน ในอุตสาหกรรมที่แบ่งแยกเพศชัดเจน เช่น วิศวกรรมและคลาวด์คอมพิวติ้ง ก็มีผู้หญิงทำงานเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว

นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีความเท่าเทียมกันระหว่างเพศในด้านการตลาด ส่งผลให้ครองอันดับที่ 20 ในดัชนีย่อยด้านการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและโอกาส เพิ่มขึ้น 25 อันดับจากปี 2549 ด้านการศึกษาสิงคโปร์ก็ทำได้ดี การศึกษาระดับมัธยมและอุดมศึกษาไม่มีช่องว่างระหว่างหญิงกับชายเลย

ฟิลิปปินส์ร่วงลง 8 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 16 เนืื่องจากช่องว่างด้านการเอื้ออำนาจทางการเมืองเพิ่มมากขึ้น คณะรัฐมนตรีมีผู้หญิงน้อยลงจากเมื่อ 2 ปีก่อน จาก 25% เหลือ 10% ในปีนี้ ส.ส.หญิงในสภาก็ลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม ฟิลิปปินส์ยังคงครองอันดับสูงสุดในบรรดาประเทศเอเชีย