เปิดสัมผัสแรก‘การท่องเที่ยว’ซาอุฯ

เปิดสัมผัสแรก‘การท่องเที่ยว’ซาอุฯ

ในย่านเมืองเก่ากลางกรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย นักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ ชาวโปแลนด์ ผู้กำลังเยี่ยมชมป้อมมาสมัค เป็นนักท่องเที่ยวชุดแรกๆ ที่มาเยือนประเทศนี้นับตั้งแต่ทางการเริ่มเปิดรับชาวต่างชาติ

ภายในป้อมเล็กๆ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 19 มัคคุเทศก์ชาวซาอุฯ สวมชุดคลุมยาวสีขาวตามธรรมเนียม กำลังบรรยายขนบโบราณในราชอาณาจักรอนุรักษนิยมสุดๆ แห่งนี้

“ก่อนมาซาอุฯ ดิฉันกังวลค่ะว่าจะแต่งตัวยังไง ห่วงเรื่องกฎระเบียบเข้มงวด แต่พอมาจริงต้องประหลาดใจมากๆ เลย” โซเฟียกล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี เธอสวมชุดคลุมยาวแต่ไม่ใช่ชุดอาบายาสีดำที่ผู้หญิงซาอุฯ ต้องสวมในที่สาธารณะ

ด้านอันดร์เซจ นายแพทย์ผู้สามี แต่งกายด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนยอมรับว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม” เป็นธรรมดาที่เราไปประเทศไหนก็ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมของประเทศนั้น

สำหรับนักท่องเที่ยวโปแลนด์ อุปสรรคสำคัญในการมาท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียคือการขอวีซ่า สามีภรรยาคู่นี้ใช้เวลาถึง 2 ปี

“ถ้าให้เลือกระหว่างกาตาร์ที่ไม่ต้องขอวีซ่า กับซาอุฯ เราเลือกกาตาร์” อันดร์เซจเล่า แต่สุดท้ายเมื่อรัฐบาลริยาดตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์เมื่อเดือนก่อน ยอมออกวีซ่านักท่องเที่ยวให้กับชาวต่างชาติจาก 49 ประเทศ ทั้งวีซ่าออนไลน์และตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง จากเดิมที่เคยให้เฉพาะนักธุรกิจและผู้แสวงบุญ สองสามีภรรยาชาวโปแลนด์จึงเลือกมาเที่ยวที่นี่

นอกจากให้วีซ่า ซาอุฯ ยังผ่อนคลายกฎระเบียบบางอย่างด้วยเพื่อจูงใจนักท่องเที่ยว เช่น อนุญาตให้คู่รักชาวต่างชาติที่ยังไม่ได้แต่งงานพักโรงแรมห้องเดียวกันได้ และผู้หญิงต่างชาติก็ไม่จำเป็นต้องสวมชุดคลุมอาบายาปกปิดทั่วร่างกาย แต่ผู้หญิงซาอุฯยังต้องปฏิบัติตามกฎนี้ต่อไป

การพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นเสาหลักหนึ่งในโครงการ “วิสัยทัศน์ 2030” ของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เพื่อเตรียมพร้อมเศรษฐกิจซาอุฯ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกอาหรับ ให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว

งานนี้ทางการโหมโฆษณาแหล่งโบราณสถาน ทะเลทรายทิวทัศน์งดงามจนแทบลืมหายใจ และชายหาด แต่ยังเน้นแหล่งท่องเที่ยวในเมืองใหญ่อย่างกรุงริยาด และเจดดาห์ เมืองท่าริมฝั่งทะเลแดงทางภาคตะวันตก ที่ทางการทุ่มทุนก้อนโตสร้างแหล่งบันเทิง

แต่แม้ทุ่มเทขนาดนี้ กรุงริยาดที่มีประชากรอาศัยอยู่ 7 ล้านคนเป็นชาวต่างประเทศ 2 ล้านคนก็ยังเงื่องหงอย ไม่ฟู่ฟ่าคึกคักเหมือนกับเมืองหลวงอื่นๆ ในอ่าวเปอร์เซีย

บนถนนอัล-ตาฮิลากลางกรุง ด้วยฟุตบาธกว้างขวางและร้านค้าระดับไฮเอนด์มากมาย ถนนเส้นนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นฌ็องเซลิเซแห่งซาอุฯ แต่ความมีชีวิตชีวาและสไตล์กลับไม่เด่นเท่าต้นตำรับในกรุงปารีส

โดยปกติแล้วช่วงกลางคืนของวันทำงาน ร้านอาหารมีกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัวเพียงไม่กี่กลุ่มมานั่งรับประทานกันตรงระเบียงร้าน สนทนากันเงียบๆ ไม่มีการบรรเลงดนตรีในร้าน

ถนนช่วงกลางที่กำลังมีการก่อสร้างรถใต้ดินสายแรกของเมือง มีอาคารโดดเด่นขึ้นป้าย“โซโหคลับ” ขนาดมหึมา เสียงเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ดังลอดมาจากภายใน พนักงานต้อนรับชายสวมเบลเซอร์และหูฟังต้อนรับผู้มาเยือนรายหนึ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ไม่วายเตือน “โปรดให้เกียรติสถานที่”

ภายในบรรยากาศสงบลง ผู้คนอิ่มอร่อยกับมื้ออาหาร การตกแต่งสบายๆ ชวนให้คิดถึงผับของอังกฤษมากกว่าจะเป็นไนต์คลับ

“เราสนับสนุนการท่องเที่ยว แต่ชาวต่างชาติต้องเคารพธรรมเนียมประเพณีการแต่งกายและการปฏิบัติตัวของเราด้วย” ชายซาอุฯ ในชุดเสื้อคลุมยาวและโพกผ้าตาหมากรุกตามธรรมเนียมให้ความเห็น

ดูๆ แล้วประเทศอนุรักษนิยมอย่างซาอุดีอาระเบีย ที่ห้ามดื่มแอลกออฮอล์ และแบ่งแยกชายหญิงห้ามอยู่รวมกันอาจไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวสำหรับคนต่างชาติก็ได้ แม้แต่คนหนุ่มสาวซาอุฯเองก็ยังไม่แน่ใจ

“อย่าพูดถึงริยาดเลย ผมเพิ่งกลับจากพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่ดูไบ” เซลส์แมนสินค้าโทรคมนาคม วัย 27 ปีผู้ไม่เปิดเผยนามให้ความเห็น ขณะที่เพื่อนรับลูกว่า เมื่อมีวันหยุดพวกเขามักไปเที่ยวดูไบ ที่ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินจากริยาดเพียง 2 ชั่วโมง

“แล้วทำไมคนต่างชาติต้องมาเที่ยวซาอุ” สองหนุ่มตั้งคำถาม

ที่ผ่านมามกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด ทรงพยายามปรับภาพลักษณ์อนุรักษนิยมสุดขั้วของประเทศ โดยอนุญาตให้เปิดโรงภาพยนตร์ ผู้หญิงขับรถได้ หญิงชายดูคอนเสิร์ตและการแข่งขันกีฬาด้วยกันได้ แต่อับดุลลาห์ อัล ฟาเอซ ที่ปรึกษาด้านการวางแผนเศรษฐกิจมองว่า การปฏิรูปการท่องเที่ยวจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานมารองรับด้วย ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางหรือโรงแรม และท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจะต้องสร้างจิตสำนึกประชาชนให้เห็นความสำคัญของการท่องเที่ยวด้วย ว่าช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการจ้างงานได้

“เป็นการทดลองที่เข้มข้นยิ่ง แต่ก็ยากจะทำนายได้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับสังคมซาอุฯ และคนที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมรวมทั้งหัวรุนแรงจะทนได้แค่ไหน” ที่ปรึกษากล่าวทิ้งท้าย