'เดนมาร์ก' ขึ้นอันดับ 1 ดัชนีความสุขโลก

'เดนมาร์ก' ขึ้นอันดับ 1 ดัชนีความสุขโลก

"เดนมาร์ก" ขึ้นอันดับ 1 ดัชนีความสุขโลกปีนี้ แซงแชมป์เก่าอย่างสวิตเซอร์แลนด์ตกไปอยู่ที่ 2 ส่วน "ไทย" ติดอันดับประเทศความสุขเพิ่มขึ้นมากสุด

เครือข่ายแก้ปัญหาการพัฒนาอย่างยั่งยืน (เอสดีเอสเอ็น) หน่วยงานของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยรายงานดัชนีความสุขโลกประจำปี 2559 (World Happiness Report 2016) เมื่อวันพุธ ต้อนรับวันความสุขสากลที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 20 มี.ค. นี้ โดยประเทศที่พลเมืองมีความสุขมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ได้แก่ เดนมาร์ก ตามมาด้วย สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ แคนาดา เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และสวีเดน เป็นอีกครั้งที่เดนมาร์กกลับมาขึ้นอันดับหนึ่ง หลังผลสำรวจในรายงานฉบับที่แล้วเมื่อปี 2558 ถูกช่วงชิงตำแหน่งไปโดยสวิตเซอร์แลนด์

ด้านประเทศที่ถูกจัดอยู่ใน 10 อันดับท้ายสุดของตารางจากทั้งหมด 157 ประเทศ ได้แก่ มาดากัสการ์ แทนซาเนีย ไลบีเรีย กินี รวันดา เบนิน อัฟกานิสถาน โตโก ซีเรีย และบุรุนดี ขณะที่ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับที่ 33 ขยับขึ้นหนึ่งตำแหน่งจากอันดับที่ 34 เมื่อปี 2558

รายงานดัชนีความสุขฉบับนี้เป็นฉบับที่ 4 มีการจัดทำครั้งแรกเมื่อปี 2555 ตามด้วยปี 2556 2558 และ 2559 ตามลำดับ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากการสำรวจของแกลลอพ เวิร์ด โพล ในปัจจัย 6 ด้าน ได้แก่ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ต่อจำนวนประชากร หรือรายได้ต่อหัว การมีที่พึ่งพิงทางสังคม การมีอายุยืนอย่างมีสุขภาพดี เสรีภาพทางสังคม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการปราศจากคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นการประเมินโดยให้คะแนน 0-10

วัตถุประสงค์ของการจัดทำรายงานดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของ "ความอยู่ดีมีสุข" ของพลเมืองในฐานะตัวชี้วัดความก้าวหน้าของประเทศ และผลักดันให้ถูกนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในเกณฑ์การกำหนดแนวนโยบายของรัฐบาลแต่ละประเทศ แต่เดิมแล้ว รายงานฉบับที่ 4 ถูกกำหนดไว้ที่ปี 2560 แต่มีการปรับเปลี่ยนให้มีฉบับคั่นกลางอัพเดตข้อมูลออกมาในปีนี้ ซึ่งจะถูกต่อยอดไปเป็นรายงานการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลที่สมบูรณ์กว่าในฉบับที่ 5 ปี 2560

ทั้งนี้ รายละเอียดของรายงานฉบับนี้ที่แตกต่างไปจากฉบับก่อนหน้า คือการมุ่งเน้นไปที่การประเมินและผลลัพธ์ของความเหลื่อมล้ำและความทั่วถึงของความอยู่ดีมีสุขของประชากรในประเทศและภูมิภาค ซึ่งพบว่าประชาชนมีความสุขมากกว่าในสังคมที่มีความเสมอภาคมากกว่า ทั้งนี้ รายงานยังเปรียบเทียบระดับของความสุขใน 2 ช่วงเวลา ระหว่างช่วงปี 2548-2550 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปี 2552 และช่วงปี 2556-2558 หรือช่วงเวลา 3 ปีล่าสุด ในจำนวน 126 ประเทศที่มีการเปรียบเทียบข้อมูล พบว่า 55 ประเทศมีอัตราความสุขเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ 45 ประเทศมีอัตราความสุขที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับประเทศที่มีความสุขเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ ไทย จีน บางส่วนของประเทศในเครือรัฐเอกราช ยุโรปตะวันตก ละตินอเมริกา ซับซาฮารา และประเทศมาซิโดเนีย

ส่วนประเทศที่ความสุขลดลงสูงสุด ได้แก่ อียิปต์ อิหร่าน จอร์แดน เยเมน ซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น อินเดีย ไซปรัส สเปน อิตาลี และกรีซ ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มประเทศที่เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ไอซ์แลนด์และไอร์แลนด์เป็นกลุ่มที่ดัชนีค่อนข้างคงที่แม้จะเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ เนื่องจากมีปัจจัยในส่วนของที่พึ่งพิงทางสังคมอยู่ในระดับสูง