พม่าชู 4 เสาปฎิรูปประเทศ

ซอ อู ที่ปรึกษาเศรษฐกิจฯ พม่า เผยแผนปฏิรูปประเทศรับเออีซี ใช้ 4 เสาหลัก เป็นกรอบพัฒนาประเทศ สร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง
ทั่วโลกมองเห็นเส้นทางการเปิดประเทศของพม่าหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2553 แม้พม่าในวันนี้จะมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปจากยุคเผด็จการทหาร แต่หนทางสู่ความสำเร็จของการปฎิรูปทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ถือได้ว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
"กรุงเทพธุรกิจอาเซียนพลัส" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายซอ อู ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดี ประเทศพม่า ถึงเส้นทางการปฎิรูป ที่ทางการพม่าวางแผนไว้เพื่อเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รับโอกาสประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)
"เรามั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) ได้ในปีหน้า ผ่านกลยุทธ์การปฎิรูปทั้งโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรมนุษย์ของเรา ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะสามารถกระโดดขึ้น จากการจัดอันดับบนเวทีโลกได้เท่าไหร่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะสามารถรักษาระดับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้หรือไม่"
นายซอ อู กล่าวว่า ทางรัฐบาลพม่าได้กำหนดกรอบการพัฒนาประเทศ เพื่อสร้างรากฐานอันแข็งแกร่ง ผ่าน 4 เสาหลัก โดยเสาแรก ให้ความสำคัญกับการปฎิรูปทางการเมือง ปูทางความเป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบ เสาที่สอง คือการปฎิรูปเศรษฐกิจและสังคม ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เสาที่สามคือการปฎิรูปหน่วยงานรัฐ ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานและโปร่งใส และเสาสุดท้าย คือการพัฒนาและปฎิรูปภาคเอกชนให้แข็งแกร่ง ซึ่งสี่เสาหลักนี้ เป็นภาพใหญ่ที่กำหนดทิศทางและกลยุทธ์แนวทางปฎิรูป ทั้งในระยะสั้น (2012-2015) และระยะยาว (2011-2031) ของประเทศ
เต็ง เส่งชู 6 ภารกิจเร่งด่วนก่อนหมดวาระ
ที่ปรึกษาประธานาธิบดีพม่า กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี เต็ง เส่ง มีอายุบริหารประเทศ 5 ปี ขณะนี้เดินทางมาเกินครึ่งทางแล้ว และในช่วง 30 เดือนสุดท้ายก่อนหมดวาระ ประธานาธิบดีได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเร่งด่วนใน 6 ด้าน (6 Priority Areas for 30-Month Plan) เพื่อที่จะแสดงผลงานที่จับต้องได้และให้ประชาชนเห็นผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาด้าน การไฟฟ้า การประปา การท่องเที่ยว การเกษตร การค้าการลงทุน สถาบันการเงิน และ การสร้างงานโดยเฉพาะงานที่พึ่งพิงแรงงานจำนวนมาก
สำหรับการรองรับโอกาสของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นายซอ อู กล่าวว่า ประเทศพม่ามีภูมิศาสตร์ที่ดี เชื่อมต่อกับประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่อย่างจีน และ อินเดีย รวมถึงยังเชื่อมติดกับประเทศไทยด้วย ที่ปรึกษาประธานาธิบดีมองว่า การเชื่อมโยง (Connectivity) คือสิ่งที่ประเทศยากจนรายนี้ สามารถมอบประโยชน์ให้แก่อาเซียนได้ และพม่าเองก็จะได้รับผลดีจากการเชื่อมโยงนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงได้มีการจัดเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อรองรับโอกาสนี้ โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการท่าเรือน้ำลึกทวายจะเชื่อมเส้นทางการพัฒนาของพม่าเข้ากับไทย ขณะที่เขตเศรษฐกิจเจ้าผิว จะเชื่อมโยงอาเซียนกับประเทศจีน
ประชาชนชาวพม่าในเวลานี้ ได้รับโอกาสมากมายจากการเปิดประเทศ โดยมีเสรีภาพได้ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการมากขึ้น อย่างเช่นการประกอบธุรกิจ การเลือกที่จะเรียนในสิ่งที่ชอบ หรือแม้กระทั่งการเดินทางไปประกอบอาชีพในต่างแดน ชาวพม่าตื่นตัวกับการเข้ามาของต่างชาติมากขึ้น พวกเขาพร้อมอ้าแขนยอมรับ ทั้งนักลงทุนต่างชาติ การลงทุนต่างชาติ และความรู้จากต่างชาติที่เข้ามาในประเทศ
สร้างความตระหนักรู้รับเออีซี
กระนั้น นายซอ อู ยอมรับว่า มีประชากรพม่าไม่ถึง 10% ที่ตระหนักการรวมตัวกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของ 10 ชาติสมาชิก แม้กระทั้งนักธุรกิจจำนวนมาก ที่ยังไม่เข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับจากเออีซี ดังนั้น การสร้างการตระหนักรู้ในเรื่องนี้ก็เป็นอีกโจทย์ที่สำคัญท่ามกลางโอกาสจากการบูรณาการทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
กระนั้น สิ่งหนึ่งที่ทำให้นายซอ อู กังวลใจ คือ พม่าจะมีศักยภาพเพียงพอไหม ที่จะรับกับโอกาสมากมายที่เข้ามา โดยเฉพาะความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก "เราพยายามที่จะยกระดับศักยภาพของเราผ่านการพัฒนาคน และพัฒนาชาติ เพื่อที่เราจะได้ไม่เสียโอกาส"
ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มากมาย นายซอ อู มองว่า ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดและรัฐบาลให้ความสำคัญมากที่สุด คือ "ทรัพยากรมนุษย์" แม้แรงงานพม่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถดึงดูดนักลงทุนได้อย่างดีเพราะมีค่าจ้างราคาถูก พร้อมทำงานหนัก แต่ทักษะและคุณภาพของแรงงานก็เป็นสิ่งที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมและการพัฒนาในระยะยาว ดังนั้นรัฐบาลจึงให้ความกับการพัฒนาทักษะของแรงงาน ผ่านการศึกษา เพราะตระหนักดีว่า "คุณภาพ" ของคนพม่าในวันนี้จะเป็นตัวกำหนด "อนาคต" ของประเทศในวันหน้า
แนะปรับตัวรับพม่าเปลี่ยนแปลงเร็ว
ขณะที่สถานทูตไทยในกรุงย่างกุ้ง มองความสัมพันธ์ไทย-พม่า มีพัฒนาการที่ดีต่อเนื่อง สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในพม่าอย่างรวดเร็วนั้นทำให้คนไทยต้องปรับมุมมองต่อพม่ามากขึ้น ซึ่งสถานการณ์การเมืองในพม่าได้เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงจากอดีต มีการพัฒนาการประชาธิปไตยมากขึ้น พม่าให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน
รัฐบาลพม่าพยายามพิสูจน์ความตั้งใจ ในการพัฒนาประเทศรองรับการหลั่งไหลเข้ามาของนักลงทุนทั่วโลก ส่งผลให้ค่าครองชีพและค่าที่ดินในย่างกุ้งเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยค่าครองชีพไต่ระดับขึ้นมาอยู่อันดับที่ 37 ของโลก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทัน ก่อนที่โอกาสจะเปลี่ยนมือไปหานักลงทุนประเทศอื่น ซึ่งพม่ามีทางเลือกที่หลากหลาย มีนักลงทุนมากกว่าร้อยประเทศที่พันธมิตรท้องถิ่นพม่ามีสิทธิเลือก
นอกจากนี้พม่ายังเป็นจุดเชื่อมต่อในการเข้าไปสู่ บังคลาเทศ ปากีสถาน เชื่อมไปยังอินเดีย ขณะที่มีจีนทางตอนบนที่ตัดเส้นทางรถไฟลงมา สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้งภูมิภาค จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนไทย ที่ใช้พม่าเป็นสะพานเชื่อมโยงไปยังอินเดียและจีน ซึ่งเป็น 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ทีมีการพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด
พม่าแม่เหล็กใหม่ดึงดูดการลงทุน
สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการค้าการลงทุนในพม่าอย่างต่อเนื่อง โดยไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนในพม่าโดยตรงสะสมมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากจีน ซึ่งปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้นักลงทุนชาวไทยสนใจลงทุนในพม่ามากขึ้น คือ กฎหมายการลงทุนต่างชาติฉบับใหม่ ที่ผ่านการอนุมัติจากประธานาธิบดีเต็ง เส่ง
กฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รูปแบบการลงทุน รวมถึงสิทธิประโยชน์และข้อจำกัดต่างๆสำหรับการลงทุน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณอย่างเป็นรูปธรรมของรัฐบาลพม่า ที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนกับต่างชาติ สิ่งที่นักลงทุนชาวไทย ควรให้ความสำคัญ และศึกษาเพิ่มเติม คือ ปัจจัยด้านสังคม วัฒนธรรม แนวคิดในการทำธุรกิจของชาวำม่รา เพื่อความสำเร็จในการลงทุนทำธุรกิจร่วมกัน
สาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าว ด้านเงินลงทุน ไม่มีการระบุถึงเงินลงทุนขั้นต่ำ หรือ สัดส่วนการลงทุนขั้นต่ำอย่างชัดเจน และสามารถทำได้ 3 รูปแบบ ได้แก่
1. ผู้ประกอบการต่างชาติลงทุนทั้งหมด
2. การร่วมลงทุนระหว่างเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐบาลพม่า
3. เป็นการร่วมทุนหลายฝ่าย ด้านการเช่าที่ดิน มีสิทธิใช้ที่ดินโดยการเช่าเท่านั้น ไม่ว่าจะเช่าจากหน่วยงานของรัฐ หรือจากเอกชนเป็นเวลา 50 ปี และสามารถต่อสัญญาเช่าได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 ปี ด้านภาษี จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ (Tax holiday) เป็นเวลา 5 ปี และถ้ามีการนำกำไรมาลงทุนต่อจะได้รับการยกเว้นภาษีรายได้ในส่วนนั้น 1 ปี รวมถึงสิทธิพิเศษด้านภาษีอื่นๆ
นอกจากนี้การลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายจะได้รับสิทธิพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายอีกด้วย ด้านการจ้างแรงงาน ในช่วง 2 ปีแรก จะต้องมีการจ้างแรงงานสัญชาติพม่าในสัดส่วนอย่างน้อย 25 % ของการจ้างงานทั้งหมด ในปีที่ 4 ให้เพิ่มเป็น 50% และในปีที่ 6 กำหนดให้เป็น 75%
แต่ทั้งนี้คณะกรรมการมีอำนาจที่จะปรับกำหนดเวลาดังกล่าวนี้ให้เหมาะสมกับประเภทของธุรกิจได้ ในกรณีที่เป็นงานที่ไม่ต้องใช้ฝีมือ กฎหมายกำหนดว่าจะต้องจ้างชาวเมียนมาร์เท่านั้น ในกรณีที่เป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญพิเศษ และต้องมีการคัดเลือก ต้องให้สิทธิแก่คนพม่า และต่างชาติอย่างเท่าเทียมกัน ด้านการโอนเงินผลกำไร ผู้ลงทุนสามารถโอนเงินผลกำไรหลังหักภาษีไปต่างประเทศได้ และ ด้านบทลงโทษ กรณีที่นักลงทุนได้กระทำการขัดต่อกฎหมายนี้ หรือ กฎหมายอื่น หรือ ระเบียบ หรือ คำสั่งอื่นใด การลงโทษนั้นจะมีลำดับชั้นจากเบาไปหาหนัก เริ่มแต่ การตักเตือน พักสิทธิพิเศษเป็นการชั่วคราว เพิกถอนใบอนุญาตลงทุน และขึ้นบัญชีดำนักลงทุนรายนั้นๆ







