ตลาดเกิดใหม่เร่งมาตรการฟื้นค่าเงิน

ธนาคารกลางไล่ตั้งแต่อินโดนีเซีย ไปจนถึงตุรกี และบราซิล กำลังเพิ่มความพยายามต่อสู้กับการอ่อนค่าลงอย่างหนักของสกุลเงินแต่ละชาติ
บทบาทที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของบรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนรอบใหม่ ในตลาดการเงินหลายแห่ง ในช่วงเวลาที่นักลงทุนจำนวนมากกำลังประสบความยากลำบากในการดูดซับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อยุตินโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างมาก
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางตุรกีให้คำมั่นถึงการเทขายดอลลาร์รายวัน เพื่อสนับสนุนค่าเงินลีรา เช่นเดียวกับธนาคารกลางบราซิล ที่ระบุว่า จะจัดเงินสภาพคล่องเงินดอลลาร์เพิ่มอีกอย่างน้อย 60,000 ล้านดอลลาร์ ไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่ภายใต้แผนการที่วางไว้ ธนาคารกลางบราซิล จะเสนอเงินกู้ 3,000 ล้านดอลลาร์ และดำเนินการสวอปค่าเงินเป็นประจำทุกสัปดาห์
ขณะที่อินโดนีเซีย ก็ได้การประกาศมาตรการใหม่ออกมา เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจ รวมถึง การผ่อนคลายโควต้าส่งออกสินแร่ และปรับปรุงกระบวนการสำหรับขออนุญาตลงทุนธุรกิจ รวมถึงปรับเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์หรู และสินค้าแบรนด์เนม สร้างแรงจูงใจทางภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนในภาคโลหะ และเกษตรกรรม ตลอดจนลดปริมาณนำเข้าน้ำมันให้น้อยลง
การอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วของสกุลเงินเหล่านี้ เป็นผลมาจากการถอนเงินลงทุนออกจากตลาดเกิดใหม่เป็นวงกว้าง ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้น และพันธบัตรดิ่งลงทั่วทั้งโลกกำลังพัฒนา เหล่านักลงทุนพากันชะลอการซื้อขายหุ้น และพันธบัตร ซึ่งที่ผ่านมาเป็นปัจจัยช่วนหนุนตลาดนับแต่เกิดวิกฤติการเงินขึ้นมา
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้หลายประเทศเกิดใหม่ ต้องนำทุนสำรองเงินตราต่างประเทศออกมาใช้ เพื่อช่วยพยุงค่าเงิน โดยนับแต่เดือนพ.ค.เป็นต้นมา ตุรกีใช้จ่ายทุนสำรองไปแล้วราว 15% ขณะโนมูระ ซิเคียวริตีส์ เทรดเดอร์รายใหญ่ของญี่ปุ่นประเมินว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินโดนีเซีย ลดลงไปแล้ว 26% จากระดับสูงสุดในปีนี้ ส่วนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของ 21 ตลาดเกิดใหม่ ที่โนมูระติดตามความเคลื่อนไหวอยู่นั้น ก็มีมูลค่าลดลงไปแล้วราว 153,000 ล้านดอลลาร์ อันเป็นระดับการใช้จ่ายครั้งใหญ่สุด นับแต่ปี 2551 เป็นต้นมา
นักวิเคราะห์ ชี้ด้วยว่า ธนาคารกลางชาติต่างๆ ยังคงมีเครื่องมือเหลืออยู่ 2-3 อย่าง โดยตุรกีเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในสัปดาห์นี้ โดยส่วนใหญ่แล้ว ธนาคารกลางชาติต่างๆ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะนำวิธีการควบคุมเงินทุนเข้ามาใช้ เพื่อให้การเคลื่อนย้ายเงินสดออกนอกประเทศทำได้ยากขึ้น
กลุ่มนักวิเคราะห์ ยังมองว่า ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมเงินทุน หรือขึ้นดอกเบี้ย ล้วนแต่มีผลกระทบในแง่ลบ โดยการควบคุมเงินทุน เป็นวิธีกลุ่มนักลงทุนไม่นิยม และอาจทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกครั้งใหญ่ เมื่อมีการยกเลิกมาตรการ ขณะที่การปรับดอกเบี้ยให้สูงขึ้น ก็อาจยับยั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ




