7อันดับเศรษฐีพันล้านมีงานศิลป์มูลค่ามากสุด

เวลธ์-เอกซ์ เผย 7 อันดับแรกมหาเศรษฐีพันล้าน ที่สะสมงานศิลปะล้ำค่าไว้มากที่สุด
"เดวิด เจฟเฟน"ผู้ผลิตภาพยนตร์เจ้าของค่ายดรีมเวิร์ค ครองแชมป์จากมูลค่างานมีในมือ 1.1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่เศรษฐีพันล้านกว่า 2 พันรายทั่วโลก แต่ละรายถือครองงานศิลปะมูลค่าเฉลี่ย 31 ล้านดอลลาร์หรือเท่ากับ 0.5%ของความมั่งคั่งของแต่ละคน
สั่งสมความรวยผ่านงานศิลป์
เวบไซต์อินไซด์เวลธ์ ได้เผยแพร่การสำรวจ 7 อันดับแรกมหาเศรษฐีพันล้านสะสมงานศิลปะคิดเป็นมูลค่ามากที่สุด จากการศึกษาของเวลธ์-เอ็กซ์ บริษัทวิจัยความมั่งคั่ง ที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ โดยการเกริ่นนำว่า งานศิลปะสำหรับมหาเศรษฐีไม่ใช่เพียงการใช้จ่ายเพื่อให้เห็นความร่ำรวยอีกต่อไป แต่งานศิลปะกลับกลายเป็นการสั่งสมความร่ำรวยให้พวกเขาด้วย
เพราะจากการศึกษาของเวลธ์-เอ็กซ์ พบว่ามหาเศรษฐีพันล้านทั่วโลก 2,170 คนถือครองงานศิลปะมูลค่าเฉลี่ย 31 ล้านดอลลาร์ต่อคน หรือเทียบเท่า 0.5%ของความร่ำรวยของแต่ละคน และจากการสำรวจครั้งล่าสุดของเวลธ์-เอกซ์ ได้นำเสนอรายละเอียดเฉพาะมหาเศรษฐีบางรายที่น่าสนใจ
โดยอันดับแรก เวลธ์-เอ็กซ์ยกให้ "เดวิด เจฟเฟน" เจ้าพ่อแห่งวงการบันเทิงสหรัฐและเป็นเจ้าของค่าผลิตภาพยนตร์ดังดรีมเวิร์ค ครองอันดับ 1 มหาเศรษฐีพันล้านผู้สะสมงานศิลปะส่วนตัวไว้มากที่สุด 1.1 พันล้านดอลลาร์ มูลค่าเทียบเท่า 1 ใน 5ของความมั่งคั่งทั้งหมด 5.5 พันล้านดอลลาร์
เจฟเฟนถือเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญ ทั้งการซื้อและการขายที่ชาญฉลาดที่สุดในตลาดงานศิลปะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เขาเป็นนักสะสมงานของแจ๊คสัน โพลล์ล็อค, วิลเลม เดอ คูนนิง และศิลปินชาวอเมริกันคนอื่นๆสมัยหลังสงครามโลก มีรายงานข่าวว่างานเจฟเฟนขายงานวาดของโพลล์ล็อคได้ในราคา 140 ล้านดอลลาร์ในปี 2549 ส่วนงานศิลปะของคูนนิ่งเขาก็ขายได้เงินกว่า 130 ล้านดอลลาร์
สำหรับ"สตีเว่น โคเฮน" ผู้ก่อตั้งเอสเอซี แคปิตอล แอดไวเวอร์ เป็นผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยงชาวอเมริกันเน้นกลยุทธ์ลงทุนตลาดหุ้น ได้รับการจัดอันดับจากฟอร์บส์ให้รวยมากที่สุดเป็นลำดับที่ 106 ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ 9.3 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค.ปีนี้ และล่าสุดต้องเผชิญเรื่องอื้อฉาวถูกกล่าวหาว่าใช้อินไซด์เดอร์เทรดดิ้งและอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่ปัญหานี้ไม่ทำให้เขาหยุดสะสมความรวยด้วยงานศิลปะ ซึ่งเวลธ์-เอ็กซ์ยกให้เขาติดอันดับกลุ่มมหาเศรษฐีที่ได้อันดับ 2 ด้วยมูลค่างานศิลปะในมือ 1 พันล้านดอลลาร์เช่นกัน
โดยในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว โคเฮนเพิ่งซื้อภาพของ พาโบล ปิกัสโซ มีชื่อว่า "La Reve" ในราคา 155 ล้านดอลลาร์ และยังเป็นเจ้าของงานปลาฉลามแช่ในน้ำยาดองศพ ซึ่งเป็นงานสร้างสรรค์ของดาเมียน เฮิร์สท์ ที่มีชื่อเรื่องว่า "The Physical Impossibility of Death in the Mind of Someone Living."
ทั้งนี้ เอลิ บรอด มหาเศรษฐีพันล้านเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และผู้สนับสนุนงานศิลปะชิ้นสำคัญ ก็ติดกลุ่มได้อันดับ 2 ด้วยมูลค่างานศิลปะ 1 พันล้านดอลลาร์ จากการจัดอันดับของเวลธ์-เอ็กซ์ ซึ่งส่วนหนึ่งในงานศิลปะที่เขามีอยู่รวมถึงผลงานของเจฟฟ์ คูนส์, แอนดี้ วาร์โฮล และแอนเดรียส เกอร์สกี
โดยมหาเศรษฐีพันล้านอีก 3 คน ที่ได้อันดับ 2 ร่วมกับบรอด มีดังนี้ บอริส อิวานิชวิลิ มีงานศิลปะมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ และฟรังซัวร์ ไพนอลท์ มีงานศิลปะที่มีมูลค่ารวม 1 พันล้านดอลลาร์เช่นกัน
เวลธ์-เอ็กซ์ยังนำเสนอเศรษฐีพันล้านอันดับ 3 "เดวิด คาห์ลิลิ" ผู้ได้ฉายา "สุลต่านผู้ลึกลับ" ที่มีการลงทุนสะสมงานศิลปะมูลค่ามาก 930 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันเขาสะสมงานไว้กว่า 25,000 ชิ้น รวมถึงงานศิลปะอิสลามและสะสมงานศิลปะกิโมโนอันดับต้นๆของญี่ปุ่นไว้ด้วย
แจง4อันดับที่เหลือ
การสำรวจของเวลธ์-เอ็กซ์ ยังให้รายชื่อเศรษฐีพันล้านอีก 4 คน ในการจัดอันดับครั้งนี้ด้วย เริ่มจากอันดับ 4 เป็นของ "นอร์แมน บราแมน" มีมูลค่างานศิลปะรวม 900 ล้านดอลลาร์ ตามด้วย "ดอริส ฟิชเชอร์" ได้อันดับ 5 จากมูลค่างานศิลปะสะสมไว้ 800 ล้านดอลลาร์ ส่วน "ลีออง แบล็ค" อยู่อันดับ 6 ด้วยมูลค่างานศิลป์ที่มีอยู่ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอันดับ 7 เป็นของ เอส.ไอ. นิวเฮาส์ จูเนียร์ จากงานศิลป์มีมูลค่า 700 ล้านดอลลาร์
ให้รีเทิร์นเฉลี่ยราว11%ต่อปี
ทั้งนี้จากเรื่อง "การลงทุนในไฟน์อาร์ตสามารถทำกำไรได้ค่อนข้างดี" ของ ซีเอ็นบีซี ดอท คอม ตั้งประเด็นขึ้นมาว่า หากเพิ่มเติมเอางานศิลปะภาพวาดสัก 2-3 ชิ้นไว้ในพอร์ตการลงทุนตลอด2-3ปีที่ผ่านมา แทนที่จะถือแต่หุ้นแบงก์ อาจทำให้เงินออมเพื่อวัยเกษียณของใครหลายคนเพิ่มพูนแตกต่างจากที่เป็นและมีอยู่ขณะนี้
เพราะซีเอ็นบีซี ดอท คอม อ้างข้อมูลของ artprice.com ในฝรั่งเศส เป็นสถิติและดัชนีผลงานไฟน์อาร์ตที่เทรดกันมากกว่าหนึ่งครั้งทั่วโลก ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานอ้างอิง โดยดูดัชนีย้อนหลัง10ปี สิ้นสุดเดือนก.ค.ปี2553 พบว่าให้ผลตอบแทน หรือ รีเทิร์น เฉลี่ยเกือบ11%ต่อปี เป็นผลตอบแทนโดดเด่นเหนือกว่าดัชนีเอสแอนด์พี500 ซึ่งมีแต่หุ้นบลูชิพหรือหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ รวมทั้งสินทรัพย์ประเภทอื่นๆอย่างบอนด์กับสินค้าโภคภัณฑ์รวมทองคำ
ทั้งนี้ ไฟน์อาร์ตถือเป็นงานวิจิตรศิลป์ ซึ่งครอบคลุมภาพวาด งานปั้น งานพิมพ์ วีดิโอและภาพถ่าย และจากข้อมูลของ artasanasset.com ชี้ว่าในยามเศรษฐกิจตกต่ำซบเซา ยอดขายงานศิลปะสมัยใหม่และยุคอิมเพรสชั่นนิสต์มากมายหลายชิ้นยังแข็งแกร่งและไปได้สวยในปี 2553 จนช่วยดึงให้ Mei Moses ซึ่งเป็นดัชนีงานศิลปะโดยรวม (All Art Index) ปรับขึ้นช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมาถึง 13.4% เทียบกับการปรับลงติดลบ 6.5%ของดัชนีเอสแอนด์พี 500
และในระยะยาวดัชนีไฟน์อาร์ต Mei Moses สำหรับงานศิลปะเทรดมาแล้วหลายครั้งตามสถาบันจัดประมูลชั้นนำทั่วโลก เมื่อเทียบกับผลงานดัชนีเอสแอนด์พี 500 พบว่าให้ผลตอบแทนต่อปีใกล้เคียงกันตลอด 50 ปีที่ผ่านมา
เป็นสินทรัพย์ระยะยาว
ฟิลิป ฮอฟฟ์แมน ประธานบริหารของไฟน์อาร์ต ฟันด์ กรุ๊ป ในกรุงลอนดอน กล่าวว่าเขามองงานศิลปะเป็นสินทรัพย์ระยะยาวประเภทหนึ่ง และมีโอกาสมากมายที่จะทำให้เงินลงทุนเติบโตได้ หากเจ้าของเงินรู้จักว่าจะซื้อหรือขายงานศิลปะนั้นอย่างไร
ซีเอ็นบีซีชี้ว่า จริงๆแล้วงานศิลปะได้รับการจัดอันดับว่าน่าลงทุนและสามารถลงทุนได้นั้น สัมพันธ์เกี่ยวข้องกันน้อยมากกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ซึ่งรวมถึงหุ้นและบอนด์ และงานศิลปะโดดเด่นมากขึ้นในการเป็นตัวเลือก เพื่อการ
กระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตลงทุน
และนักลงทุนบางคนยกให้งานศิลปะสามารถบริหารป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจากสินทรัพย์แท้จริงอย่างทองคำ ซึ่งมีแนวโน้มว่ามูลค่าจะสูงขึ้น ขณะที่มูลค่าของเงินมีแนวโน้มลดลง
แต่คำถามที่ผู้คนทั่วไปสงสัย คือทำไมบางคนไม่สนใจนำเงินออมของตัวเองไปลงทุนกับงานศิลปะ และเหตุผลหนึ่งก็คืองานศิลปะเป็นสินทรัพย์มีความผันผวน อีกทั้งเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า เมื่อใดที่ความต้องการงานศิลปะแต่ละประเภทจะมีมากขึ้นหรือลดลง
ยกตัวอย่างเช่น จากการศึกษาเป็นข้อมูลของ Artprice ย้อนดูตลาดศิลปะช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าราคางานศิลปะร่วมสมัยของจีนเพิ่มขึ้นกว่า 500% และงานศิลปะร่วมสมัยของอินเดียราคาปรับขึ้นถึง 700% แต่เฉพาะช่วงปี 2551-2552 ราคาของงานศิลปะร่วมสมัยของทั้งสองชาตินี้กลับลดลง 30%
อีกเหตุผลหนึ่งทำให้งานศิลปะเป็นสินทรัพย์มีความผันผวน เป็นเรื่องของสภาพคล่อง เพราะงานศิลปะมีสภาพคล่องน้อยกว่าสินทรัพย์การเงินอื่นๆ จึงเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้น ที่จะขายงานศิลปะชิ้นนั้นให้ได้ในยามจำเป็น และสุดท้ายให้นึกอยู่เสมอว่า ดัชนีทุกตัวที่ใช้ติดตามการซื้อขายแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าของงานศิลปะแต่ละชิ้น เป็นอะไรที่ไม่คงที่หรือสม่ำเสมอ เพราะดัชนีเป็นมาตรฐานชี้วัดเหล่านี้ นำเอาชิ้นงานศิลปะที่เฝ้าติดตามมาโดยตลอดอยู่แล้ว







