ซีเกมส์ 68 vs เอเชียนเกมส์กรุงเทพฯ 41 | กันต์ เอี่ยมอินทรา

ซีเกมส์ 68 vs เอเชียนเกมส์กรุงเทพฯ 41 | กันต์ เอี่ยมอินทรา

เปรียบเทียบ 'ซีเกมส์ 2568' vs 'เอเชียนเกมส์กรุงเทพฯ 2541' ซีเกมส์ 2568 แม้แต่คนไทยยังไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก ชวนหวนนึกถึงเอเชียนเกมส์และซีเกมส์ครั้งก่อนๆ

ทันทีที่น้ำลดที่หาดใหญ่ ตอก็ผุดที่สงขลา เมื่อมีเสียงวิจารณ์ถึงความสง่างามของซีเกมส์สงขลาโดยเฉพาะเรื่องของป้ายประชาสัมพันธ์

การเป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬา แท้จริงคือ Soft power ที่หากทำดีๆ จะเกิดผลตอบแทนมหาศาล อย่างโอลิมปิกที่เพิ่งจัดที่กรุงปารีส (ฝรั่งเศส) หรือในเมืองใหญ่ต่างๆ อย่างกรุงลอนดอน (อังกฤษ) กรุงปักกิ่ง (จีน) บาเซโลนา (สเปน) ถึงแม้การจัดงานบางที่อาจจะขาดทุน แต่ชื่อเสียงของเมือง ความคุ้นหูของคนทั่วโลก ก็ทำให้เมืองเหล่านั้นติดอยู่ในใจที่คนทั่วโลกอยากไปเยือนสักครั้ง

การเป็นเจ้าภาพกีฬาไม่เพียงออกดอกผลในทางเศรษฐกิจ กระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ หรือแม้กระทั่งการสร้างสาธารณูปโภค อาทิ การสร้างหมู่บ้านนักกีฬาที่ธรรมศาสตร์รังสิต สนามกีฬาขนาดใหญ่ อาทิ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ที่ยังคงใช้ประโยชน์มาจนทุกวันนี้ แต่ยังมีประโยชน์กับประเทศในเชิงจิตวิทยา ในเชิงสังคม นั่นคือ การหลอมรวมความสามัคคี การสร้างความภูมิใจของคนในชาติในแบบที่ไม่ไปเบียดเบียนดูถูกคนชาติอื่นๆ ความรู้สึกภูมิใจในประวัติศาสตร์และเกียรติภูมิความยิ่งใหญ่ของไทย ถูกแสดงอย่างชัดเจนในช่วงเอเชียนเกมส์ 2541 ที่กรุงเทพฯ และซีเกมส์ 2538 ที่เชียงใหม่

การเตรียมงานตั้งแต่การสร้างสาธารณูปโภค สนามกีฬาขนาดใหญ่ การสร้างเมืองนักกีฬา ตลอดจนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มีค่ามหาศาลอย่างการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน พิธีเปิดที่กระตุ้นให้เยาวชนมีส่วนร่วมทำการแสดงของเอเชียนเกมส์กรุงเทพ หรือแม้กระทั่งการออกแบบมาสคอตแมววิเชียรมาศถือร่มของซีเกมส์เชียงใหม่ คือมรดกความภาคภูมิใจของคนไทยจวบจนวันนี้

ประเทศชาติของเราเคยมีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างมาก (ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540) เคยมีความทะเยอทะยานถึงขั้นจะเป็นเสือตัวที่ห้าแห่งเอเชีย เป็นประเทศที่ต้องการจะส่งออกวัฒนธรรมไทย ส่งออกกระแส T-pop ส่งทาทา ยัง ขึ้นร้องเพลงในพิธีเปิดเอเชียนเกมส์ ที่ในหลวง ร.9 เสด็จเปิดอย่างยิ่งใหญ่ เราเคยมีงานรื่นเริงมากมายที่ส่งเสริมเอกลักษณ์ชาติ การเฉลิมฉลองพลุอย่างยิ่งใหญ่ในปีกาญจนาภิเษก เป็นแบบอย่างที่น่าชื่นชม เป็นโมเดลแห่งความสำเร็จของระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข สถาบันการเมืองอยู่ในกรอบ นักการเมืองมีความเกรงใจ คำนึงถึงหน้าตาของประเทศชาติ

ตัดภาพกลับมาที่ซีเกมส์ 2568 ที่แม้แต่คนไทยยังแทบจะไม่ได้สนใจ ไม่นับรวมความอับอายในเรื่องเล็กๆ น้อย อาทิ ป้ายประชาสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนที่มุ่งเน้นพีอาร์นักการเมือง หรือภาคเอกชนมากกว่าการแข่งซีเกมส์ ภาพเหล่านี้แทบจะไม่มีให้เห็นเลยเมื่อมองย้อนกลับไปทั้งในเอเชียนเกมส์และซีเกมส์ครั้งก่อนๆ

และไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนเมื่อมีภาพเปรียบเทียบระหว่างซีเกมส์ไทยกับซีเกมส์กัมพูชา พร้อมบรรยายทำนองเทียบให้เห็นถึงการจัดซีเกมส์ในประเทศที่รวย(กว่า)-ไทย กับประเทศที่จน(กว่า)-กัมพูชา เป็นความอึดอัด เป็นความอับอาย และเป็นความโกรธ ของประชาชนที่เพิ่มเติมต่อจากเรื่องน้ำท่วม แน่นอนว่าจะส่งผลต่อการเลือกตั้งในเร็วๆ นี้

และเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่ ก็ทำให้ในที่สุดจำต้องย้ายส่วนหนึ่งของซีเกมส์มาจัดที่กทม.