อีวีจีน ‘ยกระดับสงครามราคา’ กดราคาเหลือเพียง 3–7 แสนบาท บุกตลาดโลก

สงครามอีวีในจีนยังไม่จบ แต่กำลังลุกลามออกนอกประเทศ เมื่อค่ายรถจีนเร่งส่งออกอีวีราคาประหยัดบุกโลก ในราคาเพียง 3–7 แสนบาท เพื่อบรรเทาภาวะกำไรหดตัวในตลาดบ้านเกิด
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าในจีนยังคงไม่สิ้นสุดลงโดยง่าย และกำลังเดินหน้าเข้าสู่ “ภาคสอง” จากเดิมที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดในประเทศ บัดนี้ค่ายรถจีนเริ่มหันหัวเรือสู่ตลาดต่างประเทศ ผลักดัน “อีวีราคาประหยัด” ออกสู่ตลาดโลกในระดับต่ำกว่า 150,000 หยวน หรือ “ต่ำกว่า 7 แสนบาท” และบางรุ่นมีราคาต่ำกว่านั้น เหลือเพียง 70,000 หยวน (ประมาณ 3 แสนบาท) เท่านั้น
ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM) ชี้ให้เห็นว่า ราคารถยนต์พลังงานใหม่อย่างอีวี และปลั๊กอินไฮบริด กำลังถูกลงอย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคลพลังงานใหม่ในช่วงราคา 100,001-150,000 หยวน (ประมาณ 4.5-6.8 แสนบาท) กลายเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยยอดขาย 2.35 ล้านคันในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน ซึ่งต่ำกว่าช่วงราคาที่เคยได้รับความนิยมก่อนหน้าคือ 150,001 ถึง 200,000 หยวน (ประมาณ 6.8-9 แสนบาท)
นอกจากนี้ ยอดขายรถยนต์ในช่วงราคา 80,001 ถึง 100,000 หยวน (ประมาณ 3.6-4.5 แสนบาท) ก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อเทียบปีต่อปี
เว็บไซต์นิกเกอิ เอเชียรายงานว่า การลดราคาเห็นได้ชัดเจนที่สุดใน “กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า” โดยราคาเฉลี่ยของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไฟฟ้าในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายนอยู่ที่ 142,000 หยวน (ประมาณ 6.5 แสนบาท) ซึ่งลดลง 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามรายงานของชุย ตงซู ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยตลาดรถยนต์ชาวจีน และเป็นเลขาธิการของสมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์จีน ซึ่งตัวเลขนี้ลดลงมากกว่ารถยนต์น้ำมันที่ราคาลดลงเพียง 3% และสูงกว่าการลดลงเฉลี่ยของตลาดโดยรวมที่ 7%
อีวีกะทัดรัดมาแรง ผู้บริโภคระวังใช้จ่าย
ในขณะนี้ ความต้องการอีวีขนาดกะทัดรัดเพื่อใช้เดินทางประจำวัน หรือเป็น “รถคันที่สอง” มีส่วนผลักดันให้ราคาเฉลี่ยของตลาดปรับลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะท่ามกลางภาวะชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน ที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ที่โชว์รูม Geely Galaxy ในมณฑลกวางตุ้ง ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ใหม่กว่าครึ่งหนึ่ง เลือก Xingyuan รถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดซึ่งมีราคาขายระหว่าง 70,000–100,000 หยวน (ประมาณ 3.2-4.5 แสนบาท) สะท้อนภาพชัดเจนว่า อีวีราคาประหยัดกำลังกลายเป็นตัวเลือกหลักของครัวเรือนจีนในปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ผลิตหลายรายต่างกระโจนเข้าร่วมสงครามราคา เช่น Leapmotor ที่เปิดตัวรถ SUV EV ขนาดกะทัดรัดรุ่น A10 ในงาน Auto Guangzhou และคาดว่าจะมีราคาประมาณ 100,000 หยวน (ประมาณ 4.5 แสนบาท) โดยเน้นคุณสมบัติการชาร์จที่รวดเร็ว
“ภารกิจของเราคือ ทำให้รถรุ่นนี้กลายเป็นเรือธงสำหรับผู้ขับขี่ทั่วโลก” เฉา หลี่ รองประธานอาวุโสของ Leapmotor กล่าวในงาน Auto Guangzhou เมื่อวันศุกร์ซึ่งเป็นวันเปิดงาน
ขณะที่ Guangzhou Automobile Group ได้แสดงรถยนต์ i60 ภายใต้แบรนด์ Aion ซึ่งมีขายทั้งในรูปแบบอีวี และแบบไฮบริด โดยเริ่มต้นที่ 109,800 หยวน (ประมาณ 4.5 แสนบาท) และบริษัทได้ตั้งราคาเท่ากันสำหรับทั้งสองประเภท แม้ว่าปกติแล้ว อีวีจะมีราคาสูงกว่าก็ตาม
สงครามราคาย้อนศร กำไรลดฮวบ แม้ยอดขายยังเติบโต
แม้ว่าการลดราคาจะเป็นผลดีต่อผู้บริโภค แต่ก็ก่อความกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงเกินความเหมาะสมในตลาด รถยนต์ไฟฟ้า BYD ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ จุดกระแสลดราคาในเดือนพฤษภาคม ก่อนที่ผู้ผลิตรายอื่นจะทยอยทำตาม ส่งผลให้ “สงครามราคา” ลุกลามไปทั่วอุตสาหกรรม
สถานการณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์จากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM) ซึ่งเตือนว่า การแข่งขันด้านราคาที่ไร้การควบคุม อาจบั่นทอนผลกำไรของผู้ผลิตอย่างหนัก โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมระบุว่า
“แนวโน้มการผลักรถยนต์พลังงานใหม่เข้าสู่ระดับราคาต่ำ ไม่ใช่ทิศทางที่ดีต่ออุตสาหกรรม”
ผลประกอบการของบริษัทจึงเริ่มได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะ BYD ซึ่งยอดขายรถใหม่ในเดือนกันยายนลดลง “เป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน” เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากแรงกดดันจากคู่แข่งอย่าง Geely Galaxy และ Leapmotor
ไม่เพียงเท่านั้น กำไรสุทธิของ BYD ก็ลดลง 30% เมื่อเทียบปีต่อปีในไตรมาสเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ซึ่งเป็น “การลดลงของกำไรครั้งแรก” สำหรับช่วงเวลาดังกล่าวในรอบ 4 ปี
ที่ผ่านมา BYD ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดบ้านเกิด จากค่ายอย่าง Geely และ Leapmotor ซึ่งเริ่มแย่งส่วนแบ่งตลาดรถราคาประหยัดไปจาก BYD โดยส่วนแบ่งตลาดในประเทศของ BYD ลดลงเหลือ 14% ในเดือนกันยายน จากระดับ 18% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
BYD จึงปรับลดเป้าหมายยอดขายปี 2025 ลง 16% เหลือ 4.6 ล้านคัน แต่ยังคาดว่า ยอดส่งออกรถอีวี และปลั๊กอินไฮบริดจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 2024 โดยยุโรปยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดของบริษัท
ขณะเดียวกัน ค่ายรถ Great Wall Motor ก็มีกำไรสุทธิลดลง 30% ในช่วงไตรมาสเดียวกัน แม้ว่าปริมาณยอดขายรถใหม่จะเติบโตขึ้น 20% และทำสถิติสูงสุดสำหรับไตรมาสนั้นก็ตาม
ตีตลาดต่างประเทศ บรรเทาแรงกดดัน
เนื่องจากความยากลำบากในการทำกำไรในประเทศ บริษัทรถยนต์จีนนำรถยนต์ราคาประหยัดเหล่านี้ไปสู่ตลาดโลก ทำให้การส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยพุ่งสูงถึง 1.75 ล้านคันในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน ซึ่งเพิ่มขึ้น 89% เมื่อเทียบปีต่อปี
เริ่มจาก Leapmotor บริษัทวางแผนที่จะให้อีวี Lafa 5 ซึ่งมีราคาเริ่มต้นประมาณ 100,000 หยวน และ A10 เป็นรุ่นเรือธงสำหรับผู้ขับขี่ทั่วโลก ด้วยความร่วมมือกับ Stellantis ของยุโรป คาดว่ารถทั้งสองรุ่นนี้จะวางจำหน่ายในต่างประเทศได้เร็วขึ้น
ด้าน NIO ได้เปิดตัวรถอีวีขนาดกะทัดรัดแบบพวงมาลัยขวา รุ่น Firefly ในงานแสดงสินค้า ซึ่งได้รับความนิยมสูงในจีนจากระดับราคาที่เอื้อมถึงในช่วงราว 100,000 หยวน การเพิ่มรุ่นพวงมาลัยขวา ถือเป็นก้าวสำคัญที่คาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายในตลาดต่างประเทศ โดยรถล็อตแรกจะวางจำหน่ายในสิงคโปร์ และบริษัทมีแผนขยายการทำตลาดไปยัง 17 ประเทศในปีหน้า รวมถึงภูมิภาคอเมริกากลางด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่ามากของค่ายรถจีน ประกอบกับนโยบาย “ลดราคาเชิงรุก” ที่เดินหน้าต่อเนื่อง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปและภูมิภาคอื่น ๆ เริ่มจับตาและระมัดระวังต่อการรุกคืบของรถอีวีและปลั๊กอินไฮบริดจากจีนอย่างใกล้ชิด
หากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดจีนยังคงยืดเยื้อ ค่ายรถจีนอาจเร่งระบายสินค้าคงคลังจำนวนมากออกสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันโดยตรงต่อยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์ที่ไม่ใช่สัญชาติจีน และอาจสั่นคลอนสมดุลการแข่งขันในหลายภูมิภาคทั่วโลก
อ้างอิง: nikkei, nikkei(2)







