'Made in India' มือที่มองไม่เห็น เบื้องหลังสินค้าหรูโลก

ภายใต้ป้าย 'Made in Italy' ที่โลกแฟชั่นเชื่อถือมายาวนาน กลับมี 'อินเดีย' เป็นแรงงานเบื้องหลังที่ถูกซ่อนอยู่ งานคราฟต์ในเงามืดกำลังถูกเปิดโปง เมื่อแบรนด์หรูทั่วโลกพึ่งพาฝีมืออินเดียมากขึ้น ท่ามกลางการตั้งคำถามของผู้บริโภครุ่นใหม่
อุตสาหกรรมลักชัวรีทั่วโลกกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อราคาสินค้าในยุโรปเพิ่มขึ้นกว่า 52% ตั้งแต่ปี 2019 แต่คุณภาพกลับไม่พัฒนาขึ้นตาม
แม้ผู้ผลิตจะอธิบายว่าสิ่งที่ขายคือ "ภาพลักษณ์และประสบการณ์" ทว่าผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่าแบรนด์หรูในวันนี้ยัง “คุ้มค่า” หรือไม่ ผู้บริหารจากแพลตฟอร์ม Highsnobiety ยังยอมรับว่า ความลังเลในการจ่ายเพื่อสินค้าหรูที่ไม่ตอบโจทย์คุณค่ากำลังเพิ่มขึ้นชัดเจน
ขณะเดียวกันแพลตฟอร์มอย่าง TikTok กลายเป็นเครื่องมือใหม่ในการตรวจสอบความโปร่งใสด้านต้นทุน วิดีโอจำนวนมากเปิดเผยต้นทุนจริงของกระเป๋าแบรนด์ดังที่ผลิตในราคาประมาณ 35 ยูโร แต่กลับวางจำหน่ายในราคาสูงถึง 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนช่องว่างระหว่างราคากับคุณค่าที่แท้จริง และกลายเป็นแรงสะเทือนต่อความเชื่อมั่นที่เคยมั่นคงของอุตสาหกรรมนี้อย่างไม่อาจมองข้าม
และภายใต้เบื้องหลังภาพลักษณ์อันหรูหราของแฟชั่นยุโรป หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า "อินเดีย" คือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่มักถูกซ่อนจากสายตาผู้บริโภค
ข้อมูลในปี 2023 ระบุว่า อินเดียเป็นผู้ส่งออกงานปักรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ครองส่วนแบ่งตลาด 12.1% คิดเป็นมูลค่ารวม 173 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอิตาลีเป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่า 50.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การที่ประเทศต้นแบบของแนวคิด "Made in Italy" นำเข้าในสัดส่วนสูงเช่นนี้ สะท้อนความจริงว่า งานหัตถกรรมจากอินเดียคือรากฐานสำคัญของสินค้าหรูระดับโลกบนรันเวย์ การยอมรับโดยดีไซเนอร์ชื่อดังอย่าง Isabel Marant ที่เคยกล่าวว่า “เสื้อผ้าโอต์กูตูร์แทบทั้งหมดในวันนี้ผลิตจากอินเดีย” ยิ่งตอกย้ำข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าหลักของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำ
ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การจ้างผลิตในอินเดีย แต่อยู่ที่ "กระบวนการปิดบังที่กลายเป็นระบบ" บ่อยครั้งที่แบรนด์ส่งสินค้าที่เกือบเสร็จสมบูรณ์กลับไปยุโรป เพียงเพื่อ "ติดซิปหรือกระดุม" ก่อนจะใช้ขั้นตอนสุดท้ายเหล่านั้นเป็นข้ออ้างในการประทับฉลาก "Made in France" หรือ "Made in Italy"
แนวทางนี้ยังได้รับการปกป้องผ่าน "ข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล" ที่เข้มงวด ส่งผลให้ช่างฝีมืออินเดียไม่มีสิทธิแม้แต่จะแสดงภาพผลงานของตนเอง
ซัพพลายเชนที่ขาดความโปร่งใสดังกล่าว กำลังกลายเป็นจุดอ่อนด้านภาพลักษณ์ที่แบรนด์ชั้นนำหลีกเลี่ยงได้ยากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในขณะที่หลายบริษัทถูกตรวจสอบเรื่องการจ้างงานและเงื่อนไขแรงงานภายในยุโรปเอง ซึ่งยิ่งทำให้ผู้บริโภคตั้งคำถามว่าอะไรคืองานจริง และอะไรคือสิ่งที่ถูกแต่งขึ้น
ในอีกด้านหนึ่ง อินเดียไม่ได้เป็นเพียงฐานการผลิตให้กับแบรนด์หรูระดับโลกเท่านั้น แต่กำลังก้าวขึ้นเป็นหนึ่งใน "ตลาดบริโภค" ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด โดยปัจจุบันจำนวนบุคคลผู้มีความมั่งคั่งสูง (Ultra-High-Net-Worth Individuals: UHNWIs) หรือผู้ที่มีสินทรัพย์มากกว่า 30 ล้านดอลลาร์ขึ้นไปในอินเดีย คาดว่าจะเติบโตถึง 50% ภายในปี 2028
ตัวเลขนี้ผลักดันให้อินเดียเข้ามาอยู่ในสมการเศรษฐกิจใหม่ของอุตสาหกรรมลักชัวรี ทว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่ากำลังซื้อก็คือ "คุณภาพของผู้บริโภค" ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ผู้บริโภคอินเดียรุ่นใหม่ไม่ได้ซื้อสินค้าหรูเพียงเพื่อเลียนแบบโลกตะวันตกอีกต่อไป แต่มีความมั่นใจในรสนิยมและภูมิหลังของตนเอง พวกเขาเข้าใจงานคราฟต์ตั้งแต่การทอผ้า เครื่องประดับทอง ไปจนถึงการปรับแต่งเสื้อผ้าตามความต้องการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอินเดียมาอย่างยาวนาน
ผู้บริโภคกลุ่มนี้จึงมีความสัมพันธ์กับสินค้าอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นความหรูหราเป็นสิ่งที่ตน "สมควรได้รับ" ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไขว่คว้า ความมั่นใจนี้สะท้อนผ่านสไตล์การแต่งตัวแบบ high–low ที่ผสมผสานระหว่างงานฝีมือท้องถิ่นกับแฟชั่นร่วมสมัยได้อย่างกลมกลืน ซึ่งสร้างแรงกดดันให้แบรนด์ระดับโลกต้องเข้าใจบริบททางวัฒนธรรมและความคาดหวังของพวกเขาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น อินเดียยังเป็นผู้นำในการผลักดันแนวคิด "ความหรูหราที่มีความรับผิดชอบ" หรือ Responsible Luxury ให้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ความยั่งยืน และที่มาที่ไปของสินค้ามากกว่าภาพลักษณ์หรือคำโฆษณา ผลสำรวจหลากหลายชี้ชัดว่าผู้บริโภคอินเดียรุ่นใหม่ยินดีจ่ายเพิ่ม หากมั่นใจว่าสินค้าถูกผลิตอย่างเป็นธรรมและให้เครดิตกับแรงงานเบื้องหลัง แนวโน้มนี้จึงไม่ใช่ภาระของแบรนด์ แต่คือโอกาสสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความภักดีในระยะยาว
ขณะเดียวกัน แบรนด์แฟชั่นระดับโลกเริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการให้เครดิตกับผู้ผลิต โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น Somaiya Kala Vidya (SKV) ในรัฐคุชราต ซึ่งพัฒนาหลักสูตรอบรมเพื่อให้ช่างฝีมือมีทักษะการออกแบบและสร้างแบรนด์ของตนเอง หรือ Pret Interpret บริษัทส่งออกในบังกาลอร์ที่กำหนดชัดเจนว่าจะรับผลิตเฉพาะกรณีที่สามารถระบุ Made in India บนผลิตภัณฑ์ได้เท่านั้น
ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมลักชัวรีอย่างชัดเจน ว่างานหัตถกรรมไม่ควรถูกซ่อนไว้เบื้องหลังอีกต่อไป ความโปร่งใสกำลังกลายเป็นคุณค่าทางธุรกิจใหม่ที่ทรงพลังไม่แพ้ชื่อเสียงหรือดีไซน์
ทั้งหมดนี้กำลังนำพาอุตสาหกรรมแฟชั่นหรูไปสู่บทใหม่ที่สำคัญที่สุด นั่นคือการยอมรับว่า "ความหรูหราไม่ได้ถูกกำหนดด้วยราคา หากแต่เกิดจากความจริง ความรับผิดชอบ และคุณค่าของงานที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์" อินเดียซึ่งเคยอยู่ชายขอบของเรื่องเล่า กำลังกลายเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้นิยามมาตรฐานใหม่ของความหรูหรา ในโลกที่ผู้คนต้องการเลือกสิ่งที่สะท้อนตัวตนมากกว่าการตามเทรนด์ ความหรูหราที่แท้จริงจึงอาจไม่ได้อยู่ที่โลโก้หรือราคา แต่คือเรื่องราวและคุณค่าที่เราสวมใส่และเชื่อมั่นอย่างแท้จริง







