ทำไม Nvidia อุ้ม ‘หุ้นโลก’ ไม่ได้ นักลงทุนพร้อมเทขาย ถ้ามี ‘ความเสี่ยง’

ทำไม Nvidia กำไร ก็ยังอุ้มตลาด ‘หุ้นโลก’ ไว้ไม่ได้ กูรูมองนักลงทุน ‘กลัวสุดขีด’ พร้อมเทขาย ถ้ามี ‘ความเสี่ยง’ จับสัญญาณ ‘ขายชอร์ต’ เดิมพันขาลง
“จอห์น ฟลัด” หุ้นส่วนของ Goldman Sachs Group มองว่าการที่ตลาดหุ้นสหรัฐกลับตัวลงอย่างรุนแรงเมื่อวานนี้ (20 พ.ย.68 ) ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า กำไรที่พุ่งสูงของบริษัท “อินวิเดีย” (Nvidia Corp) ไม่สามารถเป็น "สัญญาณปลอดภัย" สำหรับการ "รับประกัน" ความเสี่ยงให้กับตลาดได้อีกแล้ว แทนที่จะให้ความเชื่อมั่น ตลาดกลับส่งสัญญาณว่านักลงทุนต้องมองหาที่กำบังเพื่อป้องกันการขาดทุน
การพลิกกลับของตลาดหุ้นครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความต้องการที่จะ "ป้องกันความเสี่ยงแบบสุดโต่ง" (Extreme Hedging) ของนักลงทุน ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้เกิดการเทขายอย่างหนักในตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนอย่างรุนแรง โดยในช่วงเปิดตลาดดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นทำกำไรได้มากถึง 1.9% แต่กำไรทั้งหมดได้หายไปอย่างรวดเร็ว และดัชนีได้พลิกกลับเป็นขาดทุน 1.1% ในช่วงบ่าย ถือเป็นความผันผวนครั้งใหญ่ที่สุดที่ตลาดต้องเผชิญ นับตั้งแต่เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในวันที่ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าในวันปลดแอกเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
สถานการณ์นี้ ส่งผลให้มูลค่าตลาดโดยรวมลดลงไปมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากจุดสูงสุดของวัน ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 100 วัน เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ซึ่งถือเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่น่ากังวลสำหรับนักลงทุน
ขณะเดียวกันดัชนีความกลัว VIX Index พุ่งขึ้นไปเหนือ 26 จุด ซึ่งบ่งชี้ถึงความผันผวนและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาด
ตลาดหุ้นร่วง แม้ Nvidia กำไรเกินคาด
การร่วงลงอย่างรวดเร็วของตลาดหุ้นสหรัฐ ในวันนั้น แม้ว่าบริษัท Nvidia จะรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาดก็ตาม ได้ทำให้นักลงทุนต้องพยายามหาคำอธิบาย โดยนักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า 3 ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ตลาดผันผวนครั้งนี้ คือ
1. กังวล ‘เฟด’ ไม่ลดดอกเบี้ย
ข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐที่ออกมา แข็งแกร่งเกินคาด ได้สร้างความสงสัยอย่างหนักว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้จริงหรือไม่
เมื่อตลาดตีความว่าเฟดอาจต้อง “คงดอกเบี้ยสูง” ไว้เป็นระยะเวลานานขึ้น เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ , ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงทันที
2. แรงเทขายทำกำไร
หุ้นเทคโนโลยีหลายตัว รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหน้า ทำให้ “การประเมินมูลค่า” อยู่ในระดับที่ตึงตัวหรือสูงเกินกว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ควรจะเป็น ดังนั้น เมื่อมีปัจจัยลบเข้ามาผสมโรง นักลงทุนจึงใช้โอกาสนี้ในการ “เทขายทำกำไร” เพื่อล็อกกำไรที่สะสมมา ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการร่วงลงอย่างรวดเร็ว
3.สัญญาณทางเทคนิค
การร่วงลงของดัชนี S&P 500 ต่ำกว่า “ค่าเฉลี่ย 100 วัน” ถือเป็นสัญญาณขายทางเทคนิคที่สำคัญ ซึ่งกระตุ้นให้ระบบการซื้อขายอัตโนมัติ และนักลงทุนที่อิงการวิเคราะห์ทางเทคนิคทำการเทขายตามมา
นอกจากนี้ มีการตั้งสมมติฐานว่า ควอนต์ฟันด์ หรือกองทุนที่ใช้หลักการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลในการคัดเลือกหุ้น อาจมีกลไกที่ถูกกระตุ้นให้ขายหุ้นออกอย่างต่อเนื่อง เมื่อตลาดเข้าสู่ช่วงความผันผวนสูง ซึ่งยิ่งเร่งให้เกิดการร่วงลงเร็วขึ้น
จับสัญญาณ ‘ขายชอร์ต’
ฟลัด ระบุว่า ตลาดมี "เนื้อเยื่อแผลเป็นอยู่มากมาย" ซึ่งสะท้อนถึงความเสียหาย และความเจ็บปวดที่นักลงทุนเคยได้รับจากการขาดทุนก่อนหน้านี้ ทำให้นักงทุนในตลาดพยายามป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนที่ทุกคนแห่เข้าไปพร้อมกัน และนักลงทุนอยู่ใน "โหมดการปกป้องผลกำไร และขาดทุนล้วนๆ"
ฝ่ายซื้อขายของ Goldman Sachs สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงเทคนิคที่สำคัญในตลาด คือ มาการ ซื้อขายชอร์ตเพิ่มขึ้น (Short Selling) ในผลิตภัณฑ์มหภาคต่าง ๆ เช่น กองทุนรวม ETF และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งแสดงถึงการวางเดิมพันว่าราคาจะลดลง
ขณะเดียวกัน สภาพคล่องของตลาดอยู่ในระดับที่เลวร้าย มูลค่าเงินทุนที่พร้อมจะเข้าซื้อหรือขายหุ้นในราคาปัจจุบันทันทีของดัชนี S&P 500 อยู่ในระดับต่ำกว่า 5 ล้านดอลลาร์ จากค่าเฉลี่ยปกติที่ประมาณ 11.5 ล้านดอลลาร์เป็นสัญญาณที่น่ากังวล เพราะมันหมายถึง ตลาดขาด "น้ำมันหล่อเลี้ยง" ทำให้ราคาหุ้นสามารถผันผวนได้อย่างรุนแรงแม้มีการซื้อขายเพียงเล็กน้อย
อ้างอิง Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







