พิพาท ‘จีน-ญี่ปุ่น’ ยังมึนตึงกันอีกนาน ไม่เห็นสัญญาณคลี่คลาย

พิพาท ‘จีน-ญี่ปุ่น’ ยังมึนตึงกันอีกนาน ไม่เห็นสัญญาณคลี่คลาย

นักวิเคราะห์มองความขัดแย้งจีน-ญี่ปุ่น ชนวนเหตุจากนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ตอบคำถามในสภาเรื่องไต้หวัน สร้างความไม่พอใจให้กับจีนจนต้องกำหนดมาตรการต่างๆ ออกมา ยังไม่มีสัญญาณคลี่คลายลงได้ง่ายๆ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน ความคิดเห็นอย่างไม่เป็นทางการของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ จุดชนวนความขัดแย้งครั้งใหญ่สุดในรอบหลายปีระหว่างญี่ปุ่น-จีน เพื่อนบ้านทรงอำนาจ โดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะส่งสัญญาณจุดยืนแข็งกร้าวใดๆ

เจ้าหน้าที่สองคนในรัฐบาลญี่ปุ่นเผยว่า ทาคาอิจิด้นสดตอบข้อซักถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านในการประชุมสภานัดแรกของเธอ ถึงวิธีการที่ญี่ปุ่นอาจตอบโต้หากจีนใช้กำลังกับไต้หวัน เมื่อพูดออกไปแล้วจีนไม่พอใจอย่างมาก ทาคาอิจิต้องหาทางถอดชนวนความขัดแย้งที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจ

จีนประกาศหลายมาตรการเพื่อแสดงความขุ่นเคืองใจต่อความเห็นของทาคาอิจิ ตั้งแต่ห้ามเดินทางไปจนถึงห้ามนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่น ยกเลิกการประชุม และอีเวนต์ด้านวัฒนธรรม กระนั้นทาคาอิจิยังไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องหลักของรัฐบาลปักกิ่งที่ต้องการให้เธอถอนคำพูด

“ไม่พูดยังจะดีกว่า แต่พูดไปก็ใช่ว่าไม่ถูกต้อง” แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเผย พร้อมย้ำ “เราถอนคำพูดไม่ได้”

ผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ความเห็นของทาคาอิจิไม่ได้ทำลายความนิยมอันแข็งแกร่งลดน้อยถอยลงเลย

โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีระบุ “ความเห็นดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนที่มีอยู่ของรัฐบาล ญี่ปุ่นยังคงเปิดรับการเจรจาระหว่างสองประเทศในทุกรูปแบบ”

รอยเตอร์สอบถามไปที่กระทรวงการต่างประเทศจีน ยังไม่ให้ความเห็น

ฤดูหนาวอันแสนนาน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้นำญี่ปุ่นเลี่ยงกล่าวต่อสาธารณะถึงสถานการณ์ไต้หวันถูกจีนโจมตี ตามยุทธศาสตร์คลุมเครืออย่างที่สหรัฐพันธมิตรสำคัญของโตเกียวยึดมั่นเช่นกัน

“ทาคาอิจิเผลอทำตัวเองติดกับดักแล้วหาทางออกไม่ได้ง่ายๆ” เจเรมี ชาน นักวิเคราะห์อาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือจากบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมือง “ยูเรเชีย กรุ๊ป” ให้ความเห็น

ชานผู้เป็นอดีตนักการทูตสหรัฐ ผู้เคยทำงานทั้งในจีน และญี่ปุ่น กล่าวต่อไปว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองเขตเศรษฐกิจใหญ่สุดเอเชียอาจอยู่ในสภาพ “ฤดูหนาวอันแสนนาน” ตลอดวาระนายกรัฐมนตรีของทาคาอิจิ

เดิมทีมีรายงานว่า ทาคาอิจิอาจได้พบกับนายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงนอกรอบการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศจี 20 ที่แอฟริกาใต้สุดสัปดาห์นี้ แต่ปักกิ่งตัดโอกาสนั้นไปแล้ว

นักวิเคราะห์บางรายเปรียบเทียบความขัดแย้งครั้งนี้กับเหตุการณ์เมื่อปี 2012 ที่รัฐบาลโตเกียวตัดสินใจซื้อหมู่เกาะข้อพิพาททำให้เกิดการประท้วงต่อต้านญี่ปุ่นทั่วประเทศจีน หลังจากนั้นผู้นำจีน-ญี่ปุ่นไม่ได้เจอกันเลยเป็นเวลาสองปีครึ่ง

“หากสถานการณ์ปัจจุบันลากยาวเหมือนตอนนั้น ญี่ปุ่นจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจมาก” ทาคาฮิเดะ คิอุจิ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยโนมูระ กล่าวและว่า เฉพาะจีนห้ามเดินทางอาจสร้างความเสียหายให้ญี่ปุ่นปีละกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์

ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ จีนจะจำกัดอุปทานแร่ธาตุสำคัญใช้ในสินค้าหลายชนิดตั้งแต่อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงยานยนต์

แม้ญี่ปุ่นพยายามสร้างความหลากหลาย มาร์เซล เทียเลียนท์ หัวหน้าฝ่ายเอเชีย บริษัทวิจัยเศรษฐกิจมหภาค “แคปิตอล อีโคโนมิก” ประเมินว่า จีนยังจัดหาแรร์เอิร์ธให้ญี่ปุ่นราว 60% ของการนำเข้า

และหากมีการคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่นมากกว่านี้อย่างที่เคยเกิดขึ้นในปี 2012 อาจทำให้ยอดขายสินค้าลดลงไปเทียบเท่ากับ 1% ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศญี่ปุ่น (จีดีพี) และทำลายอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สำคัญต่อประเทศ

ไม่มีความคืบหน้า

เมื่อวันอังคาร (18 พ.ย.68) หลิว จินซง รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจีนต้อนรับมาซาอากิ คานาอิ อธิบดีกรมเอเชีย และโอเชียเนีย กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นในกรุงปักกิ่ง  ความพยายามของโตเกียวที่จะระงับความตึงเครียดในปัจจุบันยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกอันลึกซึ้ง

หลิน กล่าวว่า การเจรจาเป็นไปอย่างเคร่งขรึม ทั้งสองฝ่ายตอกย้ำความไม่สบายใจของตนเอง สื่อทางการจีนรายงานว่า หลิวเลือกแต่งกายด้วยสัญลักษณ์ของการต่อต้าน ชุดสูทกระดุมห้าเม็ดแบบไม่มีปกของเขาเกี่ยวข้องกับการลุกฮือของนักศึกษาจีนเพื่อต่อต้านจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นในปี 1919  ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนในเส้นทางสู่ความทันสมัยของจีน

สถานีโทรทัศน์จีนเผยแพร่ภาพหลังประชุม เผยให้เห็นหลิวยืนห่างจากคู่เจรจาชาวญี่ปุ่น มือล้วงกระเป๋าซึ่งกิริยาท่าทางแบบนี้ถือว่าไม่ให้ความเคารพในบรรยากาศที่เป็นทางการ

"จีนมักทำการทูตในทางลับ พวกเขาเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ดังนั้นการที่พวกเขาทำแบบนี้ต่อหน้ากล้องแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องการให้คนทั้งโลกได้เห็น” ชาน จากยูเรเซีย กรุ๊ปตั้งข้อสังเกต

ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นสองรายเดิมยังไม่เห็นหนทางผ่าทางตัน “ตอนนี้ยังไม่มีจุดเริ่มต้นปรับปรุงความสัมพันธ์” เจ้าหน้าที่คนที่ 2 กล่าว

ไม่เพียงเท่านั้นจีนยังเพิ่มการโจมตีด้วยวาจาต่อทาคาอิจิ เริ่มต้นจากกงสุลจีน ณ นครโอซากา โพสต์ X ขู่ตัดหัวเธอแต่ตอนหลังลบโพสต์ทิ้ง นักวิเคราะห์การเมืองสายชาตินิยมชื่อดังรายหนึ่งเรียกเธอว่า “แม่มดชั่วร้าย” บัญชี X ของกองทัพจีนโพสต์รูปทาคาอิจิเผารัฐธรรมนูญญี่ปุ่น

“ผมไม่คิดว่าจะมีทางออกง่ายดายในเร็วๆ นี้ อย่างน้อยก็ไม่จนกว่าจีนทำลายความสัมพันธ์กับวอชิงตันอีกรอบ แล้วจำเป็นต้องเอาญี่ปุ่นมาเป็นพวก” นักการทูตอาวุโสของสหรัฐในเอเชีย กล่าว โดยไม่เปิดเผยตัวตน

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์