จีนระบุ ความร่วมมือการค้ากับญี่ปุ่น ‘เสียหายร้ายแรง’

กระทรวงพาณิชย์จีนแถลง ความร่วมมือทางการค้าระหว่างจีนและญี่ปุ่น “ถูกทำลายลงอย่างรุนแรง” ขอให้นายกฯ ญี่ปุ่นถอนคำพูด ไม่ใช่นั้นแล้วต้องเจอกับผลที่ตามมา
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน ความขัดแย้งทางการทูตระหว่างจีนกับญี่ปุ่นรุนแรงขึ้นนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ แถลงต่อสภาในวันที่ 7 พ.ย.ว่า หากจีนโจมตีไต้หวันรัฐบาลโตเกียวก็จะใช้กำลังตอบโต้
ล่าสุดนางสาวเหอ หยงเฉียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน แถลงข่าวประจำวัน ระบุ
“คำพูดที่ผิดพลาดอย่างเปิดเผยของนายกรัฐมนตรีทาคาอิจิเกี่ยวกับไต้หวันได้ทำลายรากฐานทางการเมืองของความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นอย่างร้ายแรง และสร้างความเสียหายรุนแรงต่อการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าทวิภาคี”
“หากฝ่ายญี่ปุ่นยังทำแบบนี้และเดินในทางที่ผิดต่อไป จีนจะดำเนินมาตรการที่จำเป็นขั้นเด็ดขาด และญี่ปุ่นต้องรับผลทุกอย่างที่ตามมา”
ด้านโฆษกของทาคาอิจิ กล่าวว่า ความเห็นของเธอเกี่ยวกับไต้หวันไม่ได้เปลี่ยนนโยบายที่มีอยู่ของญี่ปุ่น
- สหรัฐลั่นยืนข้างญี่ปุ่น
ข้อมูลจาก UN COMTRADE จีนเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่อันดับสองของจีนรองจากสหรัฐ ปี 2024 ซื้อสินค้าญี่ปุ่นราว 1.25 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์อุตสาหกรรม เซมิคอนดักเตอร์ และยานยนต์
หากจีนไม่ซื้อสินค้า ญี่ปุ่นอาจต้องหาตลาดอื่น ขณะที่เกาหลีใต้ตลาดส่งออกอันดับสามของญี่ปุ่นในปีที่ผ่านมาซื้อสินค้าเพียง 4.6 หมื่นล้านดอลลาร์เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามถึงรายงานข่าวที่ว่าจีนจะห้ามนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่นทั้งหมด โฆษกทาคาอิจิกล่าวว่า นายกฯ “ไม่มีข้อมูลจะให้ในตอนนี้”
ทั้งนี้ จีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกมีประวัติบีบบังคับทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
ในปี 2023 เคยสั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลญี่ปุ่นทุกชนิด หลังโตเกียวตัดสินใจปล่อยน้ำบำบัดแล้วจากโรงไฟไฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ สรุปแล้วว่า การปล่อยน้ำเสียนี้ปลอดภัย
ในปี 2010 จีนเคยระงับการส่งออกแรร์เอิร์ธไปให้ญี่ปุ่นราวเจ็ดสัปดาห์ หลังทางการญี่ปุ่นจับกุมกัปตันเรือประมงจีนหนึ่งคน ที่เรือไปชนเข้ากับเรือยามชายฝั่งใกล้หมู่เกาะเซนกากุ ที่ปักกิ่งอ้างกรรมสิทธิด้วยในชื่อหมู่เกาะเตี้ยวหยู
“การบีบบังคับเป็นนิสัยที่ยากจะแก้สำหรับปักกิ่ง แต่ก็เหมือนกับตอนที่สหรัฐยืนเคียงข้างญี่ปุ่นตอนถูกจีนแบนอาหารทะเลครั้งล่าสุด ครั้งนี้เราจะเคียงข้างพันธมิตรของเราอีก” จอร์จ กลาส เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำญี่ปุ่นโพสต์ X
ก่อนห้ามนำเข้าในปี 2020 จีนเป็นผู้ซื้อหอยเชลล์ญี่ปุ่นอันดับหนึ่ง และเป็นผู้นำเข้าแตงกวาทะเลรายใหญ่
ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศดูเหมือนจะดีขึ้น ตอนที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงกับทาคาอิจิเห็นชอบกันในการพบกันนอกรอบการประชุมผู้นำเอเปคในเกาหลีใต้เดือนที่ผ่านมาว่าจะ “สร้างความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นที่มั่นคงและสร้างสรรค์เหมาะสมกับยุคใหม่”
ตอนนี้บริษัทซีฟู้ดญี่ปุ่นเกรงว่าต้องกลับไปเจอข้อจำกัดเหมือนในอดีต
- ยังไม่มีทางออกตอนนี้
“ที่น่าหงุดหงิดคือสิ่งที่เดินหน้าไปแล้วจู่ๆ กับมาถอยหลัง และเนื่องจากธรรมชาติของปัญหา มันจะเกิดขึ้นได้อีก”คาซุยา ยามาซากิ ประธานซันวาฟิชเชอรีส์ให้ความเห็น บริษัทของเขาตั้งอยู่บนเกาะฮอกไกโดทางตอนเหนือของญี่ปุ่นเคยส่งออกหอยเชลล์ให้จีนปีละราว 200 ตันก่อนถูกห้ามส่งออก และเป็นหนึ่งในเกือบ 700 บริษัทที่ยื่นขออนุญาตส่งออก หลังจากจีนเห็นชอบนำเข้าซีฟู้ดญี่ปุ่นได้อีกครั้ง
ด้านเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นและนักวิเคราะห์กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีทางแก้ไขได้ง่ายๆ
“ยังไม่มีทางออกในตอนนี้จนกว่าทาคาอิจิถอนคำพูด ซึ่งเธอจะไม่ทำอย่างนั้นเพราะจะเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมือง จีนยกระดับสถานการณ์ไปสู่ระดับที่พวกเขาไม่สามารถถอยมาได้โดยง่าย” โจเซฟ คราฟต์ นักวิเคราะห์การเงินและการเมืองจาก Rorschach Advisory ในกรุงโตเกียวกล่าว
“ทางออกเดียวคือเล่นเกมยาวแล้วรอจนกว่าจีนเริ่มรู้สึกถึงความเสียหายเหมือนกัน”
ในการแถลงข่าวปกติของกระทรวงการต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงจะพบกับทาคาอิจินอกรอบการประชุมผู้นำจี20 ที่แอฟริกาใต้สุดสัปดาห์นี้หรือไม่ โฆษกตอบว่า ไม่มีแผนพบกัน







