ปริศนาเพลง ‘Baby Shark Dance’ ยอดวิวมากที่สุดในโลก แต่ไม่ได้ทำให้ผู้สร้างรวย

แม้ ‘Baby Shark Dance’ จะกวาดยอดวิวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ YouTube จนกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก แต่ความสำเร็จที่สะเทือนโลกออนไลน์ กลับไม่ได้สะท้อนเป็นทรัพย์มหาศาลในกระเป๋าผู้สร้าง เหตุผลไม่ใช่เพราะเพลงไม่ดังพอ แต่เพราะคอนเทนต์ถูกจำกัด
“ดู๊ดู๊ดู๊ดู๊ดู๊ดู” จาก Baby Shark Dance กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก จากวิดีโอเด็กความยาวเพียง 2 นาที สู่สถิติวิดีโอที่มี “ผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ YouTube” นับตั้งแต่เผยแพร่ในปี 2016 ด้วยยอดวิวทะลุ 16,400 ล้านครั้ง หรือเฉลี่ยมากกว่า 4.7 ล้านครั้งต่อวัน สูงกว่าเพลง Despacito และมากกว่า 10 เพลงยอดฮิตของนักร้อง Taylor Swift รวมกันเสียอีก
สิ่งที่ย้อนแย้งอย่างที่สุดคือ แม้เป็นเพลงที่มีคนดูมากที่สุดในโลก แต่กลับไม่ได้ทำให้ผู้สร้างร่ำรวยอย่างที่คิด
Pinkfong ตัวเลขมหาศาล แต่รายได้ไม่ได้มหาศาล
สำหรับเจ้าของเพลง Baby Shark คือ “Pinkfong” บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้ สร้างรายได้รวมเพียง ประมาณ 67 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา รวมถึงรายได้จาก YouTube ด้วย และจากตัวเลขดังกล่าว กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ราว 13 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
เมื่อเทียบกับอิทธิพลเชิงวัฒนธรรมและความนิยมระดับโลก คำถามจึงผุดขึ้นว่า “รายได้ไปอยู่ที่ไหน?”
คำตอบไม่ได้เกี่ยวกับคุณภาพของเพลงหรือความนิยม แต่เกี่ยวกับ “นโยบายของ YouTube” ที่จำกัดการทำเงินจากเนื้อหาเด็ก
เมื่อยอดวิวสูง แต่รายได้ถูกล็อกด้วยกฎ
วอลล์สตรีทเจอร์นัลเผยว่า ตั้งแต่ปี 2020 YouTube บังคับใช้ข้อจำกัดเข้มงวดกับคอนเทนต์ที่ถูกระบุว่า “Made for Kids” หลังการยอมความกับหน่วยงานกำกับดูแลการค้าของสหรัฐ (FTC) เกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็ก (Children’s Online Privacy Protection Act: COPPA)
มาตรการนี้ทำให้ไม่มีโฆษณาแบบปรับให้เป็นส่วนตัว (Personalization) ในการเจาะผู้ชม ต้องปิดคอมเมนต์ รวมถึงปิดแจ้งเตือนการติดตามช่อง
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ช่องเด็กจำนวนมาก “สูญเสียกำไรอย่างหนัก” เพราะไม่สามารถกระตุ้นการมีส่วนร่วมและขายโฆษณาที่มีมูลค่าสูงได้เหมือนช่องทั่วไป
แกรเรตต์ จอห์นสัน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยบอสตันประเมินว่า หากไม่มีข้อจำกัดเหล่านี้ เพลง Baby Shark อาจสร้างรายได้มากขึ้นเป็น 2–3 เท่า
จาก YouTube สู่ตลาดหุ้น ความหวังของ Pinkfong
ก่อนหน้านั้น Pinkfong เคยพยายามจะขายหุ้นสู่สาธารณะ (IPO) ตั้งแต่ปี 2019 แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากบริษัทและนักลงทุนมองมูลค่าต่างกัน
จนกระทั่งวันที่ 19 พฤศจิกายนเร็วๆ นี้ที่ผ่านมา Pinkfong ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น Kosdaq ของเกาหลีใต้สำเร็จ และราคาหุ้นวันแรกพุ่งกว่า 9% แตะราว 28 ดอลลาร์ต่อหุ้น ดันมูลค่าบริษัทขึ้นสู่ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์
เงินระดมทุนจาก IPO หลังหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราว 50 ล้านดอลลาร์ และบริษัทวางแผนจะใช้เพื่อสร้างคอนเทนต์ชุดใหม่ โดยตั้งเป้าเปิดตัว 3 เรื่องใหม่ภายในปี 2028
เป้าหมายชัดเจน คือ ไม่ต้องการเป็น “บริษัท Baby Shark” ตลอดไป
แม้ว่าที่ผ่านมา Baby Shark เปลี่ยนเพลงเด็กให้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก เปลี่ยน Pinkfong จากสตูดิโอเล็กในเกาหลีใต้ สู่แบรนด์ที่เด็กทั่วโลกรู้จัก
แต่กฎของอุตสาหกรรมสื่อดิจิทัล ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “ความสนใจ” ไม่ได้เท่ากับ “รายได้” เสมอไป
ผู้ชนะบนชาร์ตยอดวิว อาจไม่ได้เป็นผู้ชนะทางการเงิน ในวันนี้ Pinkfong กำลังเดิมพันครั้งใหม่ ไม่ใช่หวังพึ่ง Baby Shark ให้ดังตลอดไป แต่ต้องการสร้าง “เพลงฮิตเรื่องต่อไป” โดยไม่ต้องติดอยู่ใต้เงาของเพลงเดียวไปตลอด
อ้างอิง: wsj, youtube







