วิเคราะห์จุดจบ 'ภาษีทรัมป์’ ใครแพ้? ใครชนะ? อาเซียนแพ้ แต่ยังไม่ ‘หายนะ’

บลูมเบิร์กวิเคราะห์จุดจบ 'ภาษีทรัมป์’ ใครแพ้? ใครชนะ? จีนเสี่ยงเจ็บหนัก GDP อาจวูบ 4%’ สหรัฐ เสี่ยงสูญ GDP มากสุดในระยะยาว ส่วน อาเซียน’ และประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กแพ้ แต่ยังไม่ ‘หายนะ’
การกลับมาของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำให้ระบบการค้าโลกเกิดความวุ่นวาย จากนโยบายการเก็บภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยอัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐได้เพิ่มขึ้นจาก 2% ในปีที่ผ่านมา เป็นเกือบ 16% เป็นระดับที่สหรัฐเคยใช้ครั้งสุดท้ายในช่วงทศวรรษ 1930 ซึ่งเป็นยุคของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ทำให้เหล่าผู้นำนานาประเทศต่างเร่งรีบที่จะหาข้อตกลงทางการค้ากับรัฐบาลสหรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก “กำแพงภาษี” ที่สูงลิ่ว
สินค้าบางรายการถูกขึ้นภาษีศุลกากรในระดับที่น่าตกใจ โดยบราซิล จีน และอินเดียเป็น 3 ประเทศที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมที่ซ้อนทับกับภาษีศุลกากรแบบรายสาขา และแบบต่างตอบแทนที่มีอยู่เดิม เช่น เสื้อผ้าอินเดีย และกาแฟบราซิลที่ถูกเก็บภาษีเพิ่มอีก 50% ส่วนอะลูมิเนียมของจีนก็ถูกขึ้นภาษีถึง 60%
ใครจะเป็น ‘ผู้แพ้-ผู้ชนะ’ ในระเบียบโลกใหม่
ระบอบการค้าใหม่ภายใต้นโยบายของทรัมป์นี้จะทำให้มี “ผู้แพ้จำนวนมาก” ในตลาดโลก และมี “ผู้ชนะ” เพียงไม่กี่รายเท่านั้น ซึ่ง “อาเซียน” เป็นหนึ่งในผู้แพ้ แต่ไม่ถึงขั้น “หายนะ”
บลูมเบิร์กวิเคราะห์สถานการณ์สำคัญ 3 รูปแบบ ที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจโลกในอนาคต คือ
- การผ่อนคลายความตึงเครียดกับจีน หากสถานการณ์ที่ความขัดแย้งทางการค้า และการเมืองระหว่างสหรัฐกับจีนลดลง อาจนำไปสู่การฟื้นตัวของระบบการค้าแบบเดิม
- ทั่วโลกต่อต้านจีน หากประเทศพันธมิตรของสหรัฐร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อจำกัดหรือตัดขาดการค้า และเทคโนโลยีกับจีน
- การเกิดขึ้นของ “ป้อมปราการอเมริกาเหนือ” คือ สถานการณ์ที่สหรัฐมุ่งเน้นการค้า และการผลิตภายในทวีปอเมริกาเหนือเป็นหลัก และลดการพึ่งพาประเทศอื่นๆ ลง
‘จีน’ เจ็บหนักสุด GDP วูบ 4%
การเก็บภาษีศุลกากรทุกรูปแบบ ซึ่งทยอยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ทรัมป์ประกาศเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการค้าโลก
อันดับแรกผู้นำเข้าของสหรัฐ ต้องเผชิญกับอัตราภาษีเฉลี่ยที่สูงถึง 16% หากยังคงซื้อสินค้าแบบเดิมจากคู่ค้ารายเดิมเหมือนที่เคยทำในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตราเดิมที่สูงกว่า 2% เล็กน้อย โดยมีการคาดการณ์จากแบบจำลองการค้าโลกที่องค์การการค้าโลก (WTO) ใช้ว่า การนำเข้าของสหรัฐจะลดลง 18% ภายในปี 2030
จีนได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยคาดว่า การนำเข้าจากจีนจะลดลงเกือบ 70% แต่สถานการณ์ที่รุนแรงที่สุด คือ กรณีที่โลกมีการร่วมมือกันต่อต้านการส่งออกสินค้าที่มีกำลังการผลิตเกินดุลของจีน อาจทำให้ GDP ของจีน จะได้รับผลกระทบถึง 4% ภายในปี 2573 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจจีนต่อการกีดกันทางการค้าจากทั่วโลก
ขณะเดียวกันสหรัฐถือว่าเป็นประเทศที่มีความยืนหยุ่นสูง และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP น้อยกว่า 1% เท่านั้น
‘เอเชีย’ ต้องใช้กลยุทธ์ ‘วางตัวเป็นกลาง’
ในสถานการณ์ที่ประเทศทั่วโลกตัดสินใจร่วมมือกันต่อต้าน และตัดขาดจากจีน ผลลัพธ์ต่อ “เศรษฐกิจเอเชีย” ที่เชื่อมโยงกับจีนอย่างใกล้ชิดมีความเสี่ยงสูงมาก
หากนานาประเทศ เข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรต่อต้านจีน พวกเขาอาจเผชิญกับการสูญเสีย GDP เกือบ 1% ดังนั้น การปฏิเสธที่จะเข้าร่วมพันธมิตรและพยายามหลีกเลี่ยงการตอบโต้จากจีน อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยบางประเทศอาจมี GDP เพิ่มขึ้นเล็กน้อย หากพวกเลือกที่จะ “วางตัวเป็นตัวกลาง “ ทางการค้าระหว่างจีนกับส่วนอื่นๆ ของโลก แต่กลยุทธ์วางตัวเป็นตัวกลางนี้ ก็มีความเสี่ยงสำคัญ คือ การถูกสหรัฐตอบโต้กลับมาได้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน ประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กจะเป็นกลุ่มที่ “เสี่ยงที่สุด” เนื่องจาก ประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่ดีเทียบเท่ากับที่ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ได้ทำไว้กับสหรัฐ
แต่ทว่าการที่สหรัฐไม่ได้เก็บภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสำคัญบางประเภท เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยา กลับกลายเป็นผลดีต่อประเทศเหล่านี้อย่างมาก เพราะสินค้าเหล่านี้มักเป็นสินค้าส่งออกหลักของพวกเขา แปลว่าประเทศเล็กๆ เหล่านี้จะสูญเสียผลประโยชน์ทางการค้าบางส่วนไป แต่สถานการณ์โดยรวมก็ไม่ถึงขั้น “หายนะ” หรือวิกฤติร้ายแรง
ดังนั้น ประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กจึงต้องใช้กลยุทธ์ที่ระมัดระวังและชาญฉลาด โดยหลักการสำคัญคือ การเลือก "เส้นทางที่เอื้ออำนวย" ซึ่งหมายถึงการพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงที่จะนำไปสู่การถูกเก็บ ภาษีตอบโต้ หรือการถูกกีดกันทางการค้า ด้วยการเข้าร่วมกับ "กลุ่มพันธมิตรด้านภาษี" เพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางการค้า ลดความเสี่ยง และช่วยให้ประเทศเหล่านี้สามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้ได้รับผลกระทบ "เลวร้ายน้อยที่สุด" เมื่อเผชิญกับระเบียบการค้าโลกที่ถูกแบ่งขั้ว
แต่หากความตึงเครียดทางการค้า และภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับจีนรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่การแยกตัวทางเศรษฐกิจหรือการตัดขาดความสัมพันธ์ในห่วงโซ่อุปทานโลก อาจเป็น “โอกาส” เพราะจะเกิด "ช่องว่าง" ในการจัดหาสินค้า และบริการที่ต้องหาผู้ผลิตใหม่มาทดแทน ดังนั้นประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กสามารถก้าวเข้ามาทำหน้าที่เป็นฐานการผลิตทางเลือก หรือเป็นตัวกลางในการส่งมอบสินค้า และบริการที่เคยจัดหาโดยคู่ขัดแย้งเดิม
ทั้งนี้ เมื่อเวลาผ่านไป เศรษฐกิจโลกจะเริ่ม “ปรับตัว” ต่อการกีดกันทางการค้า โดยผู้ส่งออกทั่วโลกจะหันไปแสวงหาตลาดอื่น และพึ่งพาผู้บริโภคในประเทศ ของตนเองมากขึ้น ซึ่งการที่สหรัฐถอนตัวออกจากการค้าโลกจากการใช้กำแพงภาษีสูงอาจทำให้สหรัฐเองกลายเป็น “ประเทศที่สูญเสีย GDP มากที่สุด” โดย GDP อาจลดลงถึง 0.7% ภายในปี 2030
สรุป ดีลภาษีทรัมป์กับทั่วโลก
ประเทศพันธมิตรขนาดใหญ่บางประเทศกลับมีวิธีจัดการให้ได้รับมือ ทำให้ผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
เม็กซิโก และแคนาดา ยังคงได้รับความคุ้มครองภายใต้ข้อยกเว้นของข้อตกลงการค้า USMCA (United States–Mexico–Canada Agreement) ซึ่งช่วยจำกัดผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้น
ในขณะที่ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น แม้ว่าจะมี ดุลการค้าเกินดุลสหรัฐในปริมาณมาก แต่ก็สามารถบรรลุข้อตกลงที่ใกล้เคียงกับที่สหราชอาณาจักรได้รับ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ค่อนข้างดี เนื่องจาก UK เป็นประเทศที่ไม่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ และมีความสัมพันธ์ทางการทูตที่แข็งแกร่งกว่า
สำหรับประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กหลายแห่งในเอเชีย ซึ่งรวมถึงมาเลเซีย ไทย และเวียดนาม แม้ว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐแล้ว แต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรต่างตอบแทนที่สูงถึงประมาณ 19%-20% ในขณะที่ เกาหลีใต้ ได้รับข้อตกลงที่ดีกว่า แต่ต้องแลกมาด้วยการให้ คำมั่นสัญญาการลงทุนจำนวนมาก
ด้าน สวิตเซอร์แลนด์ เป็นอีกหนึ่งพันธมิตรของสหรัฐที่เผชิญกับอัตราภาษีที่สูงที่สุดแห่งหนึ่ง โดยอยู่ที่ 39%
อ้างอิง Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







