เสียวหมี่ทำ ‘กำไรอีวี’ ได้เป็นครั้งแรก พร้อมท้าชน Tesla–BYD

เสียวหมี่ทำ ‘กำไรอีวี’ ได้เป็นครั้งแรก พร้อมท้าชน Tesla–BYD

Xiaomi สร้างประวัติศาสตร์ โชว์ ‘กำไร’ จากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก หนุนความมั่นใจ ‘เหลย จวิน’ ผู้ก่อตั้ง Xiaomi เดินหน้าท้าชน Tesla–BYD พร้อมเร่งผลิตเพื่อลดเวลารอส่งมอบ

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เสียวหมี่ (Xiaomi) “มีกำไร” จากธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไตรมาสล่าสุด “เป็นครั้งแรก” ถือเป็นก้าวสำคัญของผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายนี้ในการรุกเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการแข่งขันสูง

สำหรับหน่วยธุรกิจ EV ของบริษัท ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายรถคันแรกเมื่อปีที่แล้ว ทำกำไรได้ 700 ล้านหยวน หรือราว 3,100 ล้านบาท ในไตรมาสเดือนกันยายน พลิกจากการขาดทุน 300 ล้านหยวนในไตรมาสก่อนหน้า และช่วยให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า

ในขณะนี้ บริษัทกำลังเร่งผลิตเพื่อแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Tesla และ BYD ในจีน และในตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเริ่มวางจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปภายในปี 2027

แม้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ผลกำไรครั้งนี้ก็ถือเป็นการพิสูจน์ความถูกต้องของวิสัยทัศน์ของผู้ร่วมก่อตั้ง “เหลย จวิน” ซึ่งได้ส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า ธุรกิจ EV จะเริ่มพลิกมาทำกำไรได้ภายในปีนี้ หลังจากที่รถ SUV รุ่นแรกของเสียวหมี่ ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม และมียอดสั่งซื้อแข็งแกร่ง

เมื่อวันอังคาร ผู้บริหารของบริษัทระบุว่า เสียวหมี่จะทำยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าตามเป้าหมายปี 2025 ที่ 350,000 คันภายในสัปดาห์นี้ เร็วกว่ากำหนดกว่าหนึ่งเดือน ขณะนี้บริษัทกำลังเร่งเพิ่มการส่งมอบ และลดเวลารอคอยของลูกค้า

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางส่วนยังคงตั้งคำถามเกี่ยวกับทิศทางระยะยาวของเสียวหมี่ โดยอ้างถึงการแข่งขันที่รุนแรง ประเด็นความปลอดภัย และความล่าช้าในการก่อสร้างโรงงานที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง

เนื่องด้วยความต้องการที่พุ่งสูง และกำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอ ทำให้ลูกค้าต้องรอนานสูงสุดถึงเก้าเดือนหลังจากสั่งจองรถบางรุ่น โดยในเดือนตุลาคม บริษัทระบุว่า ได้ส่งมอบรถ EV ได้กว่า 40,000 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับเดือนก่อนหน้า 

โจนนา เฉิน และ เจสัน เจ้า นักวิเคราะห์แห่ง Bloomberg Intelligence คาดว่า “อัตรากำไรขั้นต้นของ Xiaomi ด้านอีวีจะลดลงในปี 2026 แม้รุ่น SU7 และ YU7 จะติดอันดับหนึ่งในรถ EV ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในจีนก็ตาม เนื่องจากภาษีการซื้อรถจะสูงขึ้นในปีหน้า การแข่งขันในประเทศจะยิ่งรุนแรงขึ้น ในขณะที่การเติบโตของความต้องการชะลอตัว โดยบริษัทที่คาดว่าจะเป็นผู้นำ ได้แก่ BYD, Geely, Xpeng และ Leapmotor”

ขณะเดียวกัน การแข่งขันระหว่างเสียวหมี่กับ Apple ในตลาดสมาร์ตโฟนหลัก ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น เสียวหมี่กำลังช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ตโฟนระดับไฮเอนด์ของจีน หลังจากเปิดตัวสมาร์ตโฟนราคา 630 ดอลลาร์ ซึ่งถูกวางให้เป็นทางเลือกแทน iPhone 17 

แต่ตามข้อมูลจาก Counterpoint Research ระบุว่า iPhone มีสัดส่วน 1 ใน 4 ของสมาร์ตโฟนทั้งหมดที่ขายในจีนเมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่การเติบโตของเสียวหมี่ก็ยังตามหลังคู่แข่งเจ้าถิ่น Oppo

อีกหนึ่งปัจจัยความไม่แน่นอนคือ ราคาชิปหน่วยความจำที่กำลังสูงขึ้น โดยเสียวหมี่คาดว่า การขาดแคลนจะทำให้ราคาสมาร์ตโฟนเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า ซึ่งเป็นความเสี่ยงของการขาดแคลนส่วนประกอบสำคัญนี้ในปีหน้า
 

 

 

อ้างอิง: bloomberg

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์