สำรวจศักยภาพไทยก่อนเข้า OECD ‘นวัตกรรม’ คือกุญแจสำคัญ

สำรวจศักยภาพไทยก่อนเข้า OECD ในงานสัมมนา Sharing Pathways: Korea's OECD Membership and Thailand's Application นักวิเคราะห์ชี้ ‘นวัตกรรม’ คือกุญแจสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ว่ากันว่าเป็น “คลับของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว” การได้เข้าเป็นสมาชิกจะถือว่าประเทศนั้นได้รับการยอมรับและแสดงให้เห็นว่ามีความพร้อมปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลก
ปัจจุบัน OECD ไม่ได้ให้ความสำคัญกับแค่ประเทศร่ำรวยเท่านั้น แต่ยังขยายความร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนาด้วย และไทยเป็นหนึ่่งในประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับเสียงเป็นเอกฉันท์จากจากคณะมนตรี OECD ในปี 2024 ให้เข้าสู่กระบวนการเป็นสมาชิก ทว่า ไทยยังมีโจทย์ใหญ่นั่นคือการปฏิรูปด้าน “นวัตกรรม” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะหนุนให้เศรษฐกิจโตแรง
ดร.อานันท์ชนก สกนธวัฒน์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และการวางแผนเศรษฐกิจมหภาคสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้อธิบายภาพรวมและความท้าทายของเศรษฐกิจไทย ในงานสัมมนา Sharing Pathways: Korea's OECD Membership and Thailand's Application จัดโดยสถานเอกอัคราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประเทศไทยว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัวลง และการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังคงน่าเป็นห่วง
อานันท์ชนก กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดี เพราะธุรกิจไทยเร่งส่งออกสินค้าก่อนภาษีทรัมป์มีผลบังคับใช้ และมีการลงทุนจากภาครัฐมากขึ้น แต่ในไตรมาสสาม เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากนโยบายภาษีทรัมป์ทำให้การส่งออกชะลอตัวและการใช้จ่ายของรัฐก็ลดลง สภาพัฒน์ฯคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2025 อาจเติบโตเพียง 1.8-2.3% และปีหน้าอาจชะลอตัวลงเป็น 1.7%
จากตัวเลขดังกล่าวแสดงบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ดร.อานันท์ชนกเตือนด้วยว่า การลงทุน R&D ต่อจีดีพีของไทยอยู่ที่ 1.1-1.2% ต่ำกว่าเกาหลีใต้มากที่ลงทุน R&D มากกว่า 5% ต่อจีดีพี ซึ่ง R&D เป็นภาคส่วนสำคัญที่ทำให้เกิิดนวัตกรรมใหม่ๆ
'ทุนมนุษย์-วิจัย' จุดอ่อนไทย
ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เน้นย้ำในงานสัมมนา
"ในระดับโลก การลงทุนในนวัตกรรมมีความเชื่อมโยงกับรายได้ต่อหัวอย่างชัดเจน ประเทศที่มีรายได้สูงอย่างสิงคโปร์, สวิตเซอร์แลนด์, สหรัฐ และเกาหลีใต้ ต่างแสดงให้เห็นแล้วว่า ประสิทธิภาพด้านนวัตกรรมมีความเชื่อมโยงกับความมั่งคั่งของชาติ หากประเทศไทยต้องการเป็นประเทศรายได้สูง จะต้องพัฒนาขีดความสามารถด้านนวัตกรรม"
ดร.เสาวรัจเผยว่า ขีดความสามารถด้านนวัตกรรมของไทยยังคงคงที่ จากการจัดอันดับในดัชนีนวัตกรรมโลก (GII) ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ไทยยังคงอยู่อันดับประมาณ 43-44 ซึ่งบ่งชี้ถึงความคืบหน้าที่จำกัด และแม้ว่าจุดแข็งของไทยคือ ตลาดเงินทุนที่เอื้ออำนวย แต่จุดอ่อนที่สำคัญ คือ ทุนมนุษย์และทุนด้านการวิจัย
ผอ.ฝ่ายวิจัยนโยบายนวัตกรรมเผยว่า กิจกรรมเกี่ยวกับนวัตกรรมของไทยเติบโตไม่สม่ำเสมอ ผู้ยื่นขอจดสิทธิบัตรสัญชาติไทยส่วนใหญ่ยื่นขอสิทธิบัตร “การออกแบบ” ในขณะที่ผู้ยื่นขอชาวต่างชาติครองสิทธิบัตรด้าน “การประดิษฐ์” แสดงให้เห็นถึงช่องว่างผลผลิตมูลค่าสูงระหว่างไทยกับต่างชาติ
เมื่อดูที่จำนวนสตาร์ตอัป ไทยมีมากกว่า 300 ราย แต่มียูนิคอร์นเพียง 3 บริษัทเท่านั้น
"ระบบนิเวศของไทยไม่สนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และสตาร์ตอัปมากพอ แม้ไทยมียูนิคอร์น 3 ตัว แต่มูลค่ารวมของยูนิคอร์นอยู่ที่ประมาณ 0.6% ของจีดีพีเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าสิงคโปร์ (5.1), จีน (3.8), อินโดนีเซีย (2.1), และเกาหลีใต้ (1.8) มาก" ผอ.เสาวรัจ ย้ำ
การเปลี่ยนผ่านด้านนวัตกรรมของไทยที่ดำเนินไปอย่างล้าช้า เนื่องจากมีอุปสรรคหลายประการ อาทิ 1. ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ เช่น กฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างที่ให้ความสำคัญเรื่องต้นทุนต่ำสุด ขณะที่กระบวนการขอรับใบรับรอง R&D เพื่อลดหย่อนภาษีมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน
2. การลงทุน R&D ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะจากภาครัฐ รัฐบาลไทยลดการใช้จ่าย R&D เร็วเกินเกินไป โครงการ R&D ของภาครัฐส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและกระจัดกระจาย และมีงบประมาณเฉลี่ยเพียง 2 ล้านบาทต่อโครงการ ซึ่งแทบไม่ช่วยให้การวิจัยมีประสิทธิผล
3. ความร่วมมือที่อ่อนแอระหว่างภาครัฐ, ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง และ 4. มาตรการทางภาษียังจูงใจไม่พอ
ไทยต้องลงทุนนวัตกรรมเร่งด่วน
ดร. เสาวรัจแนะว่าไทยต้องปฏิรูปและส่งเสริมนวัตกรรมในประเทศอย่างเร่งด่วน
โดย 1. ปฏิรูปกฎระเบียบของรัฐที่เป็นอุปสรรคต่อนวัตกรรม
2. เร่งลงทุน R&D ผ่านกลไกการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนมากขึ้น
3. จัดตั้งสถาบันวิจัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมที่มีภารกิจชัดเจน
4. สร้างแรงจูงใจให้มหาวิทยาลัย ปรับ KPI เน้นสร้างผลลัพธ์เชิงพาณิชย์และการถ่ายทอดเทคโนโลยี และจัดตั้งหน่วยงานที่เป็น คนกลางในการประสานงานด้าน R&D
5. พัฒนาทุนมนุษย์ โดยเฉพาะแรงงานทักษะ STEM, ดิจิทัล, และทักษะด้านนวัตกรรม
“ทุนมนุษย์คือสิ่งสำคัญที่สุด การละเลยส่วนนี้จะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมไม่สำเร็จ”
ดร.เสาวรัจ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยมีบุคลากรที่มีทักษะ STEM หรือทำงานในสาขา STEM เพียง 10% และกว่า 70% ของกำลังแรงงานไทยมีการศึกษาเพียงระดับมัธยมศึกษา ต่างจากเกาหลีใต้ที่แรงงานส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา
เมื่อถามว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวก่อน หรือสามารถสนับสนุนด้านนวัตกรรมควบคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ดร.เสาวรัจ ตอบว่า สามารถให้ความสำคัญไปพร้อมๆ กันได้ และย้ำ
“นวัตกรรมคือสิ่งที่ขายได้ นี่คือปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยอาจโตต่ำสุดในอาเซียนปีหน้านั้น ก็เพราะเรายังไม่ได้ลงทุนในเรื่องนี้อย่างชาญฉลาด”
ขณะที่ความไม่มั่นคงทางการเมืองก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้แผนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยขาดความต่อเนื่อง ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ความผันผวนทางการเมือง ทั้งการมีนายกรัฐมนตรี 3 คน ภายใน 3 ปี และความปั่นป่วนทางการเมืองในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้นโยบายต่างๆ ขาดความต่อเนื่อง
อาจารย์ฐิตินันท์เสริมว่าการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ควรเปลี่ยนนโยบายอุตสาหกรรมจาก “Made in Thailand” ไปเป็น "Made with Thailand" เพื่อสร้างระบบนิเวศ R&D และการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น
เปิดแนวทางร่วมมือ ‘ไทย-เกาหลี’
งานสัมมนาของสถานทูตเกาหลีนอกจากเปิดให้มีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อไทยในการเตรียมเป็นสมาชิก OECD แล้วยังแสดงให้เห็นถึงความปราถนาดีที่เกาหลีใต้ยินดีสนับสนุนไทยเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว OECD อีกด้วย
ดร. นัมซอก คิม หัวหน้าทีมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย จากสถาบันนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเกาหลี (KIEP) กล่าวว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่มีประสิทธิภาพด้านการส่งออกสูง และนั่นมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว แต่การส่งออกที่หยุดชะงักและไม่ได้เพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษ 2010 เป็นความท้าทายที่ไทยต้องผ่านไปให้ได้
ดร.นัมซอก แนะว่าไทยและเกาหลีควรร่วมมือกันพัฒนาในอุตสาหกรรมที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันของทั้งสองประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี), แบตเตอรี่, ปิโตรเคมี, และเหล็กกล้า
ด้าน ผศ.ดร.อุเทน สุปัตติ รองประธานสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าประเทศไทย และหัวหน้าหน่วยวิจัย PEEM คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ศรีราชา กล่าวว่า ไทยมียอดจดทะเบียนรถอีวีเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยครองสัดส่วนเกือบ 20% ของยอดรถจดทะเบียนใหม่ ไทยมีความสามารถในการผลิตรถอีวีมากกว่า 500,000 คันต่อปี และมีรถยนต์ไฟฟ้าเกือบ 100 รุ่นในตลาด
แม้ผู้ใช้ในไทยยังคงกังวลเรื่องการซ่อมบำรุงในระยะยาว และความสามารถในการวิจัยและพัฒนาในประเทศ แต่อาจารย์อุเทนมองว่า การเป็นหุ้นส่วนในภาคอุตสาหกรรมอีวีระหว่างไทยและเกาหลีจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมและบรรเทาความกังวลดังกล่าวได้ พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการจัดความสำคัญระหว่างการสนับสนุนด้าน R&D, การปรับปรุงนโยบายรัฐ และการตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบและยั่งยืน และเสนอให้มีความร่วมมือกับประเทศอาเซียนอื่น ๆ ที่มีจุดแข็งที่แตกต่างกัน เช่น มาเลเซียที่มีจุดแข็งด้านเซมิคอนดักเตอร์ หรืออินโดนีเซียที่มีจุดแข็งด้านวัสดุในการผลิต รวมถึงเกาหลีใต้ที่มีเทคโนโลยีที่สามารถสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้
ดร. จีฮยอน คิม นักวิจัยประจำสำนักงานยุทธศาสตร์ระดับโลก สถาบันวิทยาศาสตร์และนโยบายเทคโนโลยี (STEPI) เสริมว่า เกาหลีและไทยควรร่วมมือกันในด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และดิจิทัลมากขึ้น พร้อมเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทวิภาคีอย่างเป็นทางการระหว่างเกาหลีและไทย เพื่อให้มีช่องทางหารือทวิภาคีด้านเทคโนโลยีเฉพาะ และนำไปสู่การร่วมกันขจัดอุปสรรคต่างๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยี







