จีดีพีญี่ปุ่นหดตัว 1.8% บททดสอบวินัยทางการคลัง 'ทาคาอิจิ' ?

เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 1.8% ในไตรมาสที่สาม ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวคือการลงทุนในที่อยู่อาศัยและการส่งออกที่ลดลง การหดตัวนี้อาจเป็นเหตุผลให้นายกรัฐมนตรีเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 1.8% ในไตรมาสที่สาม ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส
- ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวคือการลงทุนในที่อยู่อาศัยและการส่งออกที่ลดลง
- การหดตัวนี้อาจเป็นเหตุผลให้นายกรัฐมนตรีเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง
เศรษฐกิจญี่ปุ่นที่หดตัวในช่วงเดือนที่ผ่านมา อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ สามารถเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ข้อมูลจากทางการญี่ปุ่นรายงานในวันนี้ว่า อัตราการเติบโตที่แท้จริงของเศรษฐกิจญี่ปุ่นหดตัว 1.8% เมื่อเทียบรายปีในช่วงไตรมาสสาม ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส อย่างไรก็ตาม อัตราการหดตัวนี้ยังน้อยกว่าที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ประเมินไว้ที่ 2.4%
จีดีพีญี่ปุ่นหดตัว 1.8%
ลงทุนที่อยู่อาศัย - ส่งออก สองปัจจัยฉุดรั้ง
การลงทุนในที่อยู่อาศัยส่วนตัวและการส่งออกเป็นสองปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในภาพรวม เนื่องจากมาตรการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมก่อสร้างที่เพิ่งประกาศโดยรัฐบาล และภาษีศุลกากรของสหรัฐ ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดในการคำนวณผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของญี่ปุ่น ทรงตัวและไม่สามารถช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจได้
ค่าเงินเยนทรงตัวใกล้ระดับเดิมหลังจากตัวเลขดังกล่าวประกาศออกมา โดยซื้อขายอยู่ที่ 154.55 เยนต่อดอลลาร์ในช่วงการซื้อขายภาคเช้าของตลาดญี่ปุ่น
โยชิมาสะ มารุยามะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ตลาดที่ SMBC Nikko Securities กล่าวว่า
“เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังไปได้ดีอยู่ในช่วงครึ่งแรกของปี ส่วนตัวเลข GDP ที่เพิ่งออกมาแสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมการเติบโตชะลอตัวลงชั่วคราว”
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดที่ประกาศออกมามีแนวโน้มจะเป็นเหตุผลให้คณะทำงานของนางทาคาอิจิเริ่มดำเนินนโยบายกระตุ้นทางการคลังอย่างจริงจังเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ
บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กระบุว่า บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในแนวโน้มหดตัวหลังจาก GDP ในไตรมาสที่สองขยายตัว 2.3% ซึ่งต่ำกว่าศักยภาพจริงของเศรษฐกิจกว่าสี่เท่า สาเหตุของการปรับตัวลงส่วนใหญ่มาจากการหดตัวของตลาดค้าบ้าน ซึ่งปรับตัวลง 9.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ตัวเลขนี้นับเป็นอัตราการหดตัวรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติเลห์แมน ซึ่งทำให้ตลาดค้าบ้านร่วงลง 9.8% ในไตรมาสที่สองของปี 2009
ตลาดค้าบ้านญี่ปุ่นลำบาก
ทั้งนี้ การบริโภคภาคครัวเรือน ซึ่งคิดเป็นกว่าครึ่งของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ปรับตัวขึ้นอย่างเบาบางที่ 0.1% สะท้อนว่าประชาชนชาวญี่ปุ่นกำลังควบคุมรายจ่ายของตนเองมากขึ้น เนื่องจากประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น ขณะที่ค่าแรงยังทรงตัว
นายกฯ จ่ออุดหนุนค่าใช้จ่าย - ลดาภาษีน้ำมัน พยุงเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่นปรับขึ้นเหนือเป้าหมายของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ 2% มานานกว่า 3 ปีครึ่ง ทาคาอิจิกล่าวหลายครั้งว่าการแก้ปัญหาเงินเฟ้อคือภารกิจสำคัญของเธอ โดยให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวผ่านเงินอุดหนุนค่าสาธารณูปโภคและการลดภาษีน้ำมันเบนซิน
รายจ่ายด้านการลงทุน ปรับขึ้น 0.1% เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนโดยรวมของภาคเอกชนยังดีอยู่ โดยตัวเลขการเพิ่มขึ้นนี้ดีกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะหดตัวเล็กน้อย แบบสำรวจทังกัง (Tankan) ของธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งสำรวจเซนติเมนต์ของบริษัทเอกชน พบว่าหลายบริษัทใหญ่ยังมีแผนเพิ่มการลงทุนในโรงงานและอุปกรณ์การผลิตในปีนี้ แม้คาดการณ์กำไรจะลดลงจากภาษีศุลกากรของสหรัฐก็ตาม
มารุยามะ กล่าวว่า “การลงทุนของภาคธุรกิจยังดีอยู่ แม้หลายบริษัทในภาคการผลิตจะได้รับผลกระทบจากภาษีของสหรัฐ” พร้อมอธิบายว่า “ความแข็งแกร่งของเม็ดเงินลงทุนสะท้อนความจำเป็นในการลงทุน เนื่องจากภาคธุรกิจกำลังเผชิญปัญหาแรงงานขาดแคลนและการแข่งขันในอุตสาหกรรม รวมทั้งคำแนะนำสำหรับโมเมนตัมในการขึ้นค่าแรงจะยังคงเหมือนเดิม”
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจปรับเพิ่มจากปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 13.9 ล้านล้านเยน หรือราว 8.99 หมื่นล้านดอลลาร์ และการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ของทาคาอิจิจะทำให้ทุกฝ่ายเห็นกลยุทธ์ของเธอในการสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจกับวินัยการคลังตามที่ให้คำมั่นไว้ตอนเข้ารับตำแหน่ง
นักวิเคราะห์จับตาว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่เพิ่งประกาศนี้จะมีอิทธิพลต่อมุมมองของทาคาอิจิต่อเส้นทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นอย่างไร ก่อนหน้านี้เธอเคยแสดงความเห็นว่าอยากให้ธนาคารกลางชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยอ้างบทบาทของนโยบายการเงินต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 19 ธ.ค. โดยครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการซึ่งให้ข้อมูลจากการสำรวจของบลูมเบิร์ก มีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนั้น ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นไม่ช้ากว่าเดือน ม.ค. 2569
“ดิฉันไม่คิดว่าตัวเลขนี้จะเปลี่ยนใจคณะกรรมการฯ ได้ มุมมองพื้นฐานของดิฉันคือคณะกรรมการฯ จะขึ้นดอกเบี้ยอยู่ดีในเดือนธ.ค. หรือช้าที่สุดคือเดือนม.ค.ปีหน้า”







