สหรัฐสกัดส่งออกชิป ดัน ‘แชมเปียน AI’ จีนผงาด หุ้น Cambricon โต 765%

สหรัฐสกัดส่งออกชิป ดัน ‘แชมเปียน AI’ จีนผงาดหุ้น Cambricon สตาร์ตอัปเทคโต 765% จากแรงหนุนนโยบายรัฐ หนุนมั่งคั่งผู้ก่อตั้งโต 2 เท่า แตะ 2 หมื่นล้านดอลลาร์
สหรัฐอเมริกาตัดสินใจปิดกั้นการเข้าถึงชิปเทคโนโลยีล้ำสมัยของจีน ประกอบกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลปักกิ่งที่จะส่งเสริมเทคโนโลยีที่ผลิตขึ้นภายในประเทศได้ทำให้ หุ้น AI จีน อย่าง "แคมบริคอน เทคโนโลยี" Cambricon Technologies ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบชิปของเขา ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึงกว่า 765% ภายใน 2 ปี
สหรัฐกีดกันส่งออกชิป โอกาสทอง Cambricon
บลูมเบิร์ก รายงานว่ามาตรการควบคุมของสหรัฐกลับกลายเป็น “โอกาสทอง” ให้กับ Cambricon เมื่อสหรัฐขยายขอบเขตการควบคุมการส่งออกเพื่อสกัดกั้นไม่ให้บริษัทผู้นำตลาดอย่าง Nvidia และ AMD ขายชิป AI ประสิทธิภาพสูงให้กับจีนได้ ทำให้เกิด “ภาวะสุญญากาศด้านอุปทาน” ทันที รัฐบาลปักกิ่งจึงตอบโต้ด้วยการกำหนดให้บริษัทเทคโนโลยีในประเทศต้อง "ซื้อภายในประเทศ" ซึ่งหมายความว่าบริษัทจีนจำเป็นต้องจัดหาชิปบางส่วนจากผู้ผลิตในประเทศ เช่น Huawei หรือ Cambricon เอง
ผลจากนโยบายดังกล่าวทำให้ความต้องการชิปของ Cambricon พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้รายได้ของบริษัทพุ่งสูงขึ้นกว่า 500% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะต้องแข่งขันกับคู่แข่งในประเทศอย่าง Huawei และสตาร์ตอัปอื่นๆ ก็ตาม
ชูแมน โกเซมาจุมเดอร์ ซีอีโอของ Reken สตาร์ตอัปด้าน AI ในซานฟรานซิสโก แสดงความเห็นว่า "การเติบโตเกิดขึ้นจากความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศจะต้องเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านฮาร์ดแวร์" และเสริมว่า Cambricon อาจต้องเผชิญกับความผันผวนอย่างมากในราคาหุ้น เช่นเดียวกับ Nvidia เนื่องจากนักลงทุนกำลังประเมินว่าความต้องการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับโมเดล AI ในทางปฏิบัติถูกโฆษณาเกินจริงไปมากน้อยแค่ไหน
ในขณะที่มาตรการห้ามส่งออกของสหรัฐปิดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงชิปขั้นสูง บริษัทอย่าง Cambricon จึงถูกผลักดันให้เป็น "แชมเปียนระดับประเทศ" ที่ได้รับความคุ้มครองจากนโยบายของรัฐบาล และความสนใจอย่างสูงจากนักลงทุน สถานการณ์นี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของระเบียบอุตสาหกรรมใหม่ที่ผลประโยชน์ทางการเมืองคือ สิ่งที่กำหนด “ผู้ชนะ”ไม่ใช่กลไกของตลาดเสรี
ในปี 2019 บริษัท Cambricon Technologies ยังคงเป็นแค่ “สตาร์ตอัป” พัฒนาชิปปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และเพิ่งก่อตั้งมาได้ 3 ปี ก็ต้องเผชิญกับวิกฤติครั้งใหญ่ เนื่องจากลูกค้ารายใหญ่ที่สุดอย่าง หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน ได้ตัดสินใจยุติการทำธุรกิจเกือบทั้งหมดกับ Cambricon เพื่อหันไปพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง ซึ่งก่อนหน้านั้น รายได้กว่า 95% ของ Cambricon มาจากหัวเว่ยทั้งหมด
ดันมั่งคั่งผู้ก่อตั้งทะยาน Top 3 โลก
เรื่องนี้ทำให้ความมั่งคั่งของ “เฉิน เทียนซี” ผู้ก่อตั้งบริษัท Cambricon ในปี 2019 กลายเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีเนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้น 28% ในบริษัท ทำให้ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมูลค่าความมั่งคั่งโตกว่า 2 เท่า แตะ 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์
แม้ว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ เฉินจะยังห่างไกลจาก Jensen Huang ผู้ก่อตั้ง Nvidia อยู่มาก แต่เขาก็ได้ก้าวขึ้นเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับสามของโลกในกลุ่มผู้มีอายุ 40 ปีหรือต่ำกว่าแล้ว โดยเป็นรองเพียง Lukas Walton ทายาทของ Walmart และ Mark Mateschitz ทายาทของ Red Bull เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็วของเขาตามข้อมูลจากดัชนีมหาเศรษฐีบลูมเบิร์ก
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ เฉิน สะท้อนให้เห็นถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ภายในประเทศของจีนอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งกำลังสร้างกลุ่มชนชั้นสูงด้านเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลขึ้นมาใหม่ หลังจากการปราบปรามบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัท Cambricon ได้เข้าแทรกแซงเพื่อลดความตื่นตัวของนักลงทุน โดยได้ยื่นเอกสารต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ในเดือนส.ค.เพื่อ เตือนว่าบริษัทยังคงอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ และเน้นย้ำถึงความยากลำบากในการพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับแนวหน้าของเทคโนโลยี
Cambricon จะเป็น "Nvidia แห่งประเทศจีน" ?
การพุ่งทะยานของ Cambricon ในตอนนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นว่าการเติบโตที่พุ่งสูงของ บริษัทนั้น มาจากความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริงของชิป หรือเป็นผลมาจากการสนับสนุนอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายคุ้มครองการค้าของรัฐบาลจีนกันแน่ คำถามนี้ได้ทำให้ผู้สังเกตการณ์แบ่งเป็นสองฝ่ายเกี่ยวกับความยั่งยืนของการเติบโตในระยะยาว
Shen Meng ผู้อำนวยการธนาคารเพื่อการลงทุน Chanson & Co. ในกรุงปักกิ่งแสดงความเห็นว่า "รายได้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Cambricon เป็นผลมาจากจุดเริ่มต้นที่ต่ำเป็นหลัก และการประเมินมูลค่าปัจจุบันอาจสูงเกินจริงได้ หากไม่มีการสนับสนุนนโยบายอย่างต่อเนื่อง"
แม้ว่า Cambricon จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า Cambricon หรือแม้แต่ Huawei จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็น "Nvidia แห่งประเทศจีน" ได้หรือไม่
Sunny Cheung นักวิจัยจาก Jamestown Foundation ชี้ว่า เหตุผลสำคัญคือ ระบบนิเวศซอฟต์แวร์แบบครบชุดของ Nvidia ซึ่งรวมถึง ระบบ CUDA หรือภาษาโปรแกรมที่เป็นกรรมสิทธิ์ที่ใช้งานกับฮาร์ดแวร์ของบริษัทนั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะเลียนแบบได้อย่างรวดเร็ว
อ้างอิง Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







