เปิด 5 ประเด็นหลักการหารือ Article IV ของ IMF ต่อเศรษฐกิจไทย

เปิด 5 ประเด็นหลักการหารือ Article IV ของ IMF ต่อเศรษฐกิจไทย

IMF ชี้เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน  แนะรัฐบาลใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวพอประมาณในระยะสั้น โดยเน้นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ส่งเสริมการเติบโต ด้านนโยบายการเงินยังมีช่องว่างให้ผ่อนคลายเพิ่มเติมผ่านการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยสนับสนุนอุปสงค์ในประเทศ

KEY

POINTS

  • IMF ชี้เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน 
  • IMF แนะรัฐบาลใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวพอประมาณในระยะสั้น โดยเน้นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนที่ส่งเสริมการเติบโต
  • นโยบายการเงินยังมีช่องว่างให้ผ่อนคลายเพิ่มเติมผ่านการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยสนับสนุนอุปสงค์ในประเทศ

คณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) นำโดยนายปีเตอร์ บรอยเออร์ ได้จัดประชุมปรึกษาหารือตาม Article IV ปี 2568 กับประเทศไทย ระหว่างวันที่ 30 ต.ค. ถึงวันที่ 13 พ.ย.2568  เมื่อสิ้นสุดการหารือ นายบรอยเออร์ได้ออกแถลงการณ์ดังนี้

เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหารอบด้าน 

เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้น ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมายาวนาน และผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นระยะหนึ่ง  ความเปราะบางเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากปัจจัยใหม่ อาทิ ผลกระทบจากอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐ แม้จะปรับลดลงจากที่ประกาศไว้ในเบื้องต้นที่ 36% เป็น 19%
ก็ยังส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง  และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ"

บริโภคเอกชน หดตัวต่อเนื่อง

“ในครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ที่ 3% ดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยมีแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนถึงการเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่สหรัฐ จะปรับขึ้นภาษี  อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2 หลังจากหดตัวติดต่อกันสี่ไตรมาส  ในส่วนของภาครัฐ การบริโภค และการลงทุนเติบโตขึ้นอย่างมากในครึ่งแรกของปี 2568 จากการใช้จ่ายที่ต่ำกว่ากรอบงบประมาณที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ 2567 จากความล่าช้าของการอนุมัติงบประมาณในปีก่อนหน้า

“ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตที่ 2.1% ในปี 2568 และ 1.6% ในปี 2569  สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังจากที่เร่งไปก่อนการขึ้นภาษี ประกอบกับอุปสงค์จากสหรัฐ ที่ลดลง และผลจากภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น  นอกจากนี้ คาดว่าสภาวะการเงินที่ตึงตัวจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ  ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ -0.1% ในปี 2568 และ 0.4% ในปี 2569

“ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มความเสี่ยงด้านลบ ประการแรก ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าที่ยืดเยื้อ อาจส่งผลกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ หากเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อเงินเฟ้อคาดการณ์ และระดับราคาในระยะต่อไป ประการที่สอง ความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ความเสี่ยงทางการเงินในประเทศรุนแรงขึ้น  และประการที่สาม ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น และความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของตลาด และการเติบโตทางเศรษฐกิจ  อย่างไรก็ตาม การเติบโตของเศรษฐกิจ และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออาจจะปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดด้านการค้าโลกเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทยสูงกว่าที่คาดการณ์ และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศคลี่คลายลงได้เร็ว

แนะรัฐทำนโยบายขยายตัวพอประมาณเป็นเรื่องดี แต่ต้องเร่งปรับโครงสร้างการคลังด้วย

“เมื่อพิจารณาถึงอุปสรรคที่มีมากขึ้น การดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวพอประมาณ ตามที่คาดการณ์ในปีงบประมาณปัจจุบัน โดยอาศัยเงินคงเหลือจากปีงบประมาณก่อนหน้านี้ จะเป็นเครื่องมือสนับสนุนเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะสั้น ทั้งนี้ รัฐควรจัดสรรงบประมาณไปใช้ในกิจกรรมที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภาครัฐควรทำอย่างเฉพาะเจาะจง และใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลสูงสุด  ในบริบทนี้ คณะผู้แทนฯ ยินดีกับการตัดสินใจในการเปลี่ยนจากการให้เงินอุดหนุนผ่านโครงการ Digital Wallet ไปสู่โครงการลงทุนต่างๆ และเพิ่มจำนวนเงินช่วยเหลือประกันสังคมให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  การสนับสนุนทางการคลังในระยะสั้นนี้ควรอยู่ภายใต้แผนการเข้าสู่สมดุลทางการคลังในระยะปานกลางที่เหมาะสม  และหากไม่มีผลกระทบด้านลบที่รุนแรง รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงความล่าช้าในการปรับฐานะทางการคลัง (fiscal adjustment) หรือการเพิ่มเพดานหนี้ และดำเนินการรัดเข็มขัดทางการคลังโดยที่ยังคงสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ควรเพิ่มรายได้ของรัฐบาลเพื่อลดการก่อหนี้สาธารณะ รวมถึงการสร้างพื้นที่การคลังสำหรับความจำเป็นในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ และทุนทางกายภาพ และเสริมสร้างระบบประกันสังคมให้แข็งแกร่ง

แบงก์ชาติอาจลดดอกเบี้ยได้เพิ่ม

“นโยบายการเงินยังมีส่วนช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% หลังจากที่ปรับลดลง 4 ครั้ง รวมทั้งหมด 1% นับตั้งแต่เดือนต.ค.2567  ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่ายังสามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยยังคงไว้ซึ่งขีดความสามารถของนโยบายที่เพียงพอรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในด้านลบ การประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างนโยบายการเงิน และนโยบายการคลังจึงมีความจำเป็นเพื่อเสริมสร้างการผสมผสานนโยบาย ขณะเดียวกันยังต้องรักษาความเป็นอิสระของธนาคารกลาง และรักษาความยืดหยุ่นของอัตราแลกเปลี่ยนไว้เป็นปัจจัยหลักในการรองรับผลกระทบ

หนี้ครัวเรือนปัญหาสำคัญเศรษฐกิจไทย

“แผนการดำเนินการของรัฐบาลในการลดหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง และการสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ถือเป็นแนวทางที่เหมาะสม การปรับโครงสร้างสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และมูลค่าต่ำ และการเปิดโอกาสให้ครัวเรือนสามารถกลับเข้าสู่ระบบสินเชื่อ หลังจากชำระหนี้หรือลดจำนวนงวดชำระหนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ที่ต้องทำต่อไป โดยต้องให้ความสำคัญกับการรักษาธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเพื่อความสำเร็จของโครงการ นอกจากนี้ การขยายบริการทางการเงินให้กับ SMEs และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับระบบการจัดสรรทุนผ่านตัวกลางทางการเงิน และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ

“ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วนเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัว และปรับปรุงศักยภาพในการเติบโต  ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการค้า และความเชื่อมโยงทางการเงิน การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และการยกระดับการส่งออก ควบคู่ไปกับการปรับปรุงระบบประกันสังคม ธรรมาภิบาล และเพิ่มความสามารถในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  การใช้นโยบายเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และครอบคลุมมากขึ้น และช่วยการปรับสมดุลภายนอก (external rebalancing)

คณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับพัฒนาการ และแนวโน้มทางเศรษฐกิจกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันของรัฐ ตลอดจนตัวแทนจากภาคประชาสังคมและภาคเอกชน  คณะผู้แทนฯ ใคร่ขอขอบคุณทางการไทย และผู้เข้าร่วมการประชุมหารือทุกท่านเป็นอย่างสูง ที่ได้ชี้แจงข้อหารือ และนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศมีกำหนดการเบื้องต้นในการปรึกษาหารือเกี่ยวกับรายงานของคณะเจ้าหน้าที่ (Staff Report) ในเดือนก.พ.2569”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์