สรุป ‘3 ประเด็นสำคัญ’ จดหมายอำลาสุดท้ายของบัฟเฟตต์

ในวัย 95 ปี ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เตรียมวางมือจาก Berkshire Hathaway พร้อมฝาก 'จดหมายอำลาฉบับสุดท้าย' ที่สะท้อนชีวิตเรียบง่ายใน 'โอมาฮา' ความเชื่อมั่นในอนาคตของอเมริกา คำเตือนเรื่องความอิจฉาในหมู่ผู้บริหาร และข้อคิดลึกซึ้งว่า 'จงใช้ชีวิตให้สมกับคำไว้อาลัยที่คุณอยากได้ยิน' บทสรุปอันงดงามจากปรมาจารย์แห่งโอมาฮา
ก่อนการวางมือจาก Berkshire Hathaway ในสิ้นปีนี้ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนระดับตำนานในวัย 95 ปี ได้ประกาศว่า เขากำลังเตรียม “อยู่เงียบๆ” โดยในจดหมายอำลาผู้ถือหุ้น Berkshire ครั้งสุดท้าย ได้ระบุว่า เขาจะ “ยุติการเขียนจดหมายประจำปี” ถึงผู้ถือหุ้นของ Berkshire และ “งดการปรากฏตัว” ในการประชุมประจำปีของบริษัทหลังสิ้นปีนี้
นี่จึงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารธรรมดา แต่อาจเป็นการ “อำลา” ของนักลงทุนที่โลกการเงินเรียกว่า “ปรมาจารย์แห่งโอมาฮา”
สำหรับ “จดหมายฉบับสุดท้าย” ถึงเหล่านักลงทุน มี “3 ประเด็นสำคัญ” ถึงตัวเขาเอง ผู้ถือหุ้น และผู้บริหารดังนี้
ในวันที่ช้าลง แต่ใจยังมั่นคง
บัฟเฟตต์พูดถึงตัวเองว่า โดยรวมแล้วเขายังรู้สึกแข็งแรงดี แต่ก็เริ่มรู้สึกถึงผลของวัยชราในเรื่องการทรงตัว การมองเห็น การได้ยิน และความจำ
เขากล่าวว่า “แม้ผมจะเคลื่อนไหวได้ช้าลง และอ่านหนังสือได้ยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมก็ยังไปออฟฟิศห้าวันต่อสัปดาห์ เพื่อทำงานร่วมกับผู้คนที่ยอดเยี่ยม”
นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ยังเขียนถึงบ้านเกิดของเขาที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา โดยใช้พื้นที่กว่าสองหน้าของจดหมายเพื่อกล่าวถึง “ชีวิตที่ดี” ในโอมาฮา และยกย่องเพื่อนร่วมถิ่นชาวรัฐเนแบรสกา ที่ประสบความสำเร็จ และเปี่ยมด้วยปัญญา เช่น ชาร์ลี มังเกอร์ เพื่อนสนิทที่สุดของเขา และดอน คีโอห์ อดีตซีอีโอของโคคา-โคลา
บัฟเฟตต์ เผยว่า ความสำเร็จของเขา และของบริษัท Berkshire ไม่ได้เกิดจากการอยู่ในศูนย์กลางทางการเงินอย่างนิวยอร์กหรือซานฟรานซิสโก แต่กลับมาจากการตั้งอยู่ในเมืองบ้านเกิดเล็กๆ อย่าง “โอมาฮา” ในใจกลางสหรัฐ ที่ซึ่งให้สภาพแวดล้อมที่สงบ สมถะ และมั่นคง
“พอมองย้อนกลับไป ผมคิดว่าทั้ง Berkshire และตัวผมเองโชคดีที่ตั้งอยู่ที่เมืองโอมาฮา เพราะถ้าอยู่ที่อื่นก็คงไม่ดีเท่านี้
ใจกลางประเทศอเมริกาเป็นที่ ที่เหมาะมาก ทั้งสำหรับการเกิด เติบโต สร้างครอบครัว และเริ่มต้นทำธุรกิจ” บัฟเฟตต์ กล่าว
อย่าสิ้นหวัง อเมริกาจะกลับมา Berkshire ก็เช่นกัน
แม้บัฟเฟตต์จะเพิ่มการบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิของลูกๆ มากขึ้น แต่เขายืนยันว่า มุมมองเชิงบวกต่ออนาคตของเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ “ยังไม่เปลี่ยนแปลง” เขายังคงถือหุ้นคลาส A ของบริษัทไว้ในสัดส่วน “จำนวนมาก” จนกว่าผู้ถือหุ้นจะมั่นใจในตัวผู้บริหารคนใหม่อย่างเต็มที่ โดยบัฟเฟตต์ กล่าวว่า “ความมั่นใจในจุดนั้น คงใช้เวลาไม่นานนัก”
ในส่วนของแผนสืบทอดตำแหน่ง บัฟเฟตต์เขียนถึงเกร็ก เอเบลว่า “เขาเป็นผู้จัดการที่ยอดเยี่ยม ทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย และสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา” พร้อมทั้งอวยพรให้เขาได้ทำงานในตำแหน่งนี้อย่างยาวนาน และกล่าวเสริมว่า “ผมหวังว่าเขาจะมีสุขภาพแข็งแรงไปอีกหลายทศวรรษ ถ้าโชคดี เบิร์กไชร์น่าจะต้องการซีอีโอเพียง 5 หรือ 6 คน ตลอดศตวรรษหน้าเท่านั้น”
บัฟเฟตต์ย้ำถึงความอดทน และศรัทธาในระยะยาว โดยระบุว่า ราคาหุ้นของเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์เคย “ร่วงลงถึง 50%” ถึงสามครั้ง ในช่วง 60 ปีที่เขาบริหาร แต่สุดท้าย บริษัทก็ฟื้นกลับมาได้ทุกครั้ง เขาจึงเตือนผู้ถือหุ้นว่า
“อย่าสิ้นหวัง อเมริกาจะกลับมา และหุ้นของ Berkshire ก็เช่นกัน”
เตือนความอิจฉา และความโลภ
บัฟเฟตต์พูดถึง “ความอิจฉา” ในหมู่ผู้บริหารระดับสูง โดยเล่าว่า แต่เดิมมีคนพยายาม “ปฏิรูป” ระบบค่าตอบแทนผู้บริหาร โดยบังคับให้บริษัทต้องเปิดเผยเงินเดือนของซีอีโอและนำไปเปรียบเทียบกับเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานทั่วไป หวังว่าจะช่วยลดช่องว่างรายได้ และทำให้ผู้บริหารรู้สึกละอาย หากตัวเองได้มากเกินไป
แต่ผลกลับตรงกันข้าม ซีอีโอหลายคนกลับใช้ข้อมูลนี้เพื่อ “อ้างเหตุผลขึ้นเงินเดือนตัวเอง” โดยบอกกับคณะกรรมการบริษัทว่า “ซีอีโอคนอื่นได้เงินมากกว่า ผมก็ควรได้เท่าหรือมากกว่า”
กฎใหม่นี้จึงไม่ได้สร้าง “ความพอประมาณ” อย่างที่ตั้งใจ แต่กลับก่อให้เกิด “ความอิจฉาและความโลภ” แทน
บัฟเฟตต์สรุปว่า สิ่งที่มักรบกวนจิตใจซีอีโอที่ร่ำรวยมาก ๆ ซึ่งก็อย่างว่า พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ก็คือ การเห็นว่าซีอีโอคนอื่นรวยกว่า “ความริษยา” และ “ความโลภ” มักจะมาคู่กัน
นอกจากนี้ บัฟเฟตต์ยังกล่าวถึง “การสนทนาที่ยากลำบาก” โดยยอมรับว่า บางครั้งผู้บริหารที่มีความสามารถ และภักดีต่อบริษัท อาจป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม ซึ่งกระทบต่อการตัดสินใจ และความสามารถในการทำงานได้ เขาเล่าว่า “ผมกับชาร์ลี (มังเกอร์) เคยเจอปัญหานี้มาหลายครั้ง แต่ก็ไม่กล้าลงมือทำอะไร ซึ่งความลังเลนี้ อาจกลายเป็นความผิดพลาดร้ายแรงได้”
บัฟเฟตต์จึงเตือนว่า คณะกรรมการบริษัทต้อง “ตระหนัก และรับผิดชอบ” ต่อสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะทำได้ยากก็ตาม พร้อมแนะนำว่า
“สิ่งเดียวที่ผมบอกได้คือ กรรมการควรตื่นตัว และกล้าที่จะพูดขึ้นมา”
สำหรับจดหมายฉบับนี้ ถือเป็นอีกบทสำคัญของการส่งไม้ต่อครั้งประวัติศาสตร์ สู่ยุคของ “เกร็ก เอเบล” มือขวาผู้ได้รับความไว้วางใจสูงสุด เขาจะรับช่วงต่อเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์พร้อมเงินสดในมือกว่า 382,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 12 ล้านล้านบาท) ผลลัพธ์จากยุคแห่งความ “นิ่ง” ที่บัฟเฟตต์เลือกเก็บกระสุนไว้ ไม่เร่งเข้าซื้อกิจการใหญ่หรือซื้อหุ้นคืนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สุดท้าย บัฟเฟตต์กล่าวถึง “บทเรียนชีวิต” ด้วยถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งว่า
“จงตัดสินใจว่า คุณอยากให้คำไว้อาลัยของคุณเขียนว่าอะไร แล้วใช้ชีวิตให้สมกับคำพูดนั้น”
เขาปิดท้ายจดหมายด้วยข้อคิดอีกประโยคหนึ่งว่า
“จงเลือกแบบอย่างในชีวิตของคุณให้ดี และพยายามเดินรอยตามพวกเขา คุณอาจไม่สามารถเป็นคนที่สมบูรณ์แบบได้ แต่คุณสามารถพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้เสมอ”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







