ส่องค่าย 'รถยนต์ญี่ปุ่น' 7 แบรนด์ใหญ่ ครึ่งปีแรกภาษีทรัมป์ป่วน 3 แสนล้าน

เปิดตัวเลข 7 แบรนด์ใหญ่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ถูกผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐกว่า 3 แสนล้านบาท ในช่วงครึ่งปี 2568 ฉุดกำไรสุทธิทุกบริษัทลดลงพร้อมกันครั้งแรกนับตั้งแต่โควิด-19 ขณะที่ 'โตโยต้า' เจ็บน้อยสุดเพราะยอดขายโตทั่วโลก
สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียรายงานว่า 7 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐไปแล้วรวมมูลค่า 9.7 พันล้านดอลลาร์ (กว่า 3.1 แสนล้านบาท) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 และมีเพียงค่าย "โตโยต้า มอเตอร์" เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ "ลดลง" จากการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฮบริดในตลาดสหรัฐ
การรวบรวมตัวเลขจากรายงานผลประกอบการล่าสุด พบว่า ภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐส่งผลกระทบต่อรายได้รวมของ 7 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นถึง 1.5 ล้านล้านเยน ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568 (เม.ย.-ก.ย.68) ส่งผลให้ 7 ค่ายใหญ่มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปี "ลดลงทุกบริษัทเป็นครั้งแรก" นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา
กำไรสุทธิรวมของผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 7 รายในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่เกือบ 2.1 ล้านล้านเยน (ราว 4.4 แสนล้านบาท) ลดลงประมาณ 30% จากปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยหากไม่มีปัจจัยผลกระทบจากภาษีนำเข้า และอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่ากำไรสุทธิรวมน่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“นี่คือภาวะปกติแบบใหม่ (New Normal) ซึ่งเราคาดว่าจะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้” โนริยะ ไคฮาระ รองประธานบริหารของฮอนด้า มอเตอร์ ระบุในการแถลงข่าว
ทั้งนี้ สหรัฐจัดเก็บภาษีนำเข้ากับญี่ปุ่นในอัตรา 27.5% มีผลบังคับใช้เกือบตลอดช่วงเดือนเม.ย.- ก.ย. ก่อนที่ต่อมาจะปรับลดเหลือ 15% เมื่อวันที่ 16 ก.ย.
นอกจากผลกระทบด้านลบจากภาษีนำเข้าแล้ว "ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น" ยังส่งผลให้ค่ายใหญ่ทั้งเจ็ดรายมีกำไรจากการดำเนินงานรวมลดลง 7 แสนล้านเยน ในจำนวนนี้มี 3 ค่ายที่ขาดทุนสุทธิ ได้แก่ นิสสัน มอเตอร์, มาสด้า มอเตอร์, และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส
เป็นที่คาดว่าภาษีนำเข้าจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นทั้ง 7 ราย ประมาณ 2.5 ล้านล้านเยน หรือราว 5.2 แสนล้านบาท ในปีงบประมาณ 2568 (สิ้นสุดเดือนมี.ค.2569)
ใครหนักสุด และใครบ้างที่รอด
"มาสด้า" และ "ซูบารุ" ซึ่งมีตลาดหลักอยู่ในอเมริกาเหนือ เป็นสองบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้ามากที่สุด โดยตลาดสหรัฐมีสัดส่วนประมาณ 30% ของยอดขายทั่วโลกของมาสด้า และเนื่องจากรถยนต์ส่วนใหญ่ส่งออกไปจากญี่ปุ่น กำแพงภาษีศุลกากรจึงทำให้กำไรของมาสด้าลดลงถึง 9.71 หมื่นล้านเยนในช่วงครึ่งปีงบประมาณ และยังเป็นการขาดทุนสุทธิครั้งแรกในรอบ 5 ปีของมาสด้า
เจฟฟรีย์ เอช. กายตัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของมาสด้า กล่าวในการแถลงผลประกอบการว่า การลดภาษีรถยนต์ระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐ (16 ก.ย.68) นั้นล่าช้ากว่าที่คาดไว้ในตอนแรกว่าจะมาในเดือนส.ค. ทำให้ผลกระทบในไตรมาสที่สองอยู่ที่ 1.03 หมื่นล้านเยน ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมถึงขาดทุน
"ซูบารุ" ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน เนื่องจากยอดขาย 80% มาจากสหรัฐ ยอดขายเพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่กำไร 1.544 แสนล้านเยน ที่ถูกเก็บภาษีศุลกากรกลับทำให้กำไรหายไป ในขณะนี้ที่ภาษีศุลกากรดูเหมือนจะมีผลบังคับใช้อย่างถาวร Subaru จึงได้ริเริ่มโครงการลดต้นทุนมูลค่า 200,000 ล้านเยนภายในปี 2030
"ซูบารุ” ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน เนื่องจากยอดขายถึง 80% มาจากตลาดสหรัฐ แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว แต่รายจ่ายมูลค่า 1.54 แสนล้านเยน จากภาษีศุลกากรได้ลบล้างกำไรทั้งหมดไป และเมื่อดูเหมือนว่าภาษีศุลกากรจะกลายเป็นมาตรการถาวร ซูบารุจึงได้เริ่มโครงการ "ลดต้นทุน" วงเงิน 2 แสนล้านเยนภายในปี 2030
นอกจากประเด็นภาษีสหรัฐ ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นยังมี "ความกังวลใหม่" ในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจาก "Nexperia" ผู้ผลิตชิปสัญชาติจีนที่มีกำลังปัญหากับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ระงับการจัดส่งชิป แต่ล่าสุดในสัปดาห์นี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงแล้ว และทางการจีนเปิดทางให้บริษัทสามารถส่งออกชิปได้แล้ว
"ฮอนด้า" ต้องลดการผลิตรถยนต์รุ่นหลักในเม็กซิโก และสหรัฐในช่วงปลายเดือนต.ค. เนื่องจากมีการใช้ชิป Nexperia ในส่วนประกอบบางชิ้น และได้รับผลกระทบจากกรณีความขัดแย้งของ Nexperia ส่งผลให้ฮอนด้าปรับลดประมาณการกำไรสุทธิสำหรับปีงบประมาณ 2568 ลง เนื่องจากผลกระทบต่อกำไรจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะสูงถึง 1.5 แสนล้านเยน
ขณะที่ "ซูซูกิ" ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากไม่ได้จำหน่ายรถยนต์สี่ล้อในตลาดสหรัฐ ซึ่งหมายความว่าภาษีนำเข้าส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย แต่บริษัทก็กำลังเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชิปในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ
"โตโยต้า" ผู้ชนะที่เจ็บตัวน้อยที่สุด
ทางด้าน "โตโยต้า" ดูเหมือนจะเป็น "ผู้ชนะเพียงรายเดียว" ด้วยยอดขายรถยนต์ไฮบริดที่แข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีรายจ่ายภาษีศุลกากรถึง 9 แสนล้านเยน แต่ยอดขายทั่วโลกกลับเติบโตขึ้น 5% ในปีนี้ และทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ โดยมีเพียงโตโยต้า และซูบารุเท่านั้นที่มียอดขายเพิ่มขึ้นในครึ่งปีแรก
ยอดขายรถยนต์ไฮบริดที่ทำกำไรของโตโยต้าเพิ่มขึ้น 9% และประสบความสำเร็จในการลดต้นทุน ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทลดลงเพียง 7% หรือลดลงน้อยที่สุดในบรรดา 7 ค่ายรถใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งเคนตะ คอน ซีเอฟโอของโตโยต้ากล่าวว่า ตลาดสหรัฐมีความต้องการรถยนต์ไฮบริดสูงมาก และบริษัทคาดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป
นอกจากตลาดสหรัฐแล้ว โตโยต้ายังประสบความสำเร็จในตลาดอื่นๆ เช่น "จีน" ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 6% สวนทางกับฮอนด้า และผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นรายอื่นๆ ที่ต่างก็ประสบปัญหาในการแข่งขันกับคู่แข่งภายในประเทศของจีน
“นับเป็นสัญญาณที่ดีที่โตโยต้าสามารถกลับมาผงาดอีกครั้งทั้งในจีน และอเมริกาเหนือ” เซอิจิ สึกิอุระ นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Tokai Tokyo Intelligence Laboratory กล่าว “ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งของโตโยต้ากำลังสร้างความแตกต่าง”
ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 7 รายคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 140-147 เยนต่อดอลลาร์ แต่ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 154 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่ากว่าที่คาดการณ์ไว้มาก และถือเป็นปัจจัยบวกต่องบดุลบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น
“ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบทั้งหมดจากภาษีศุลกากร” สึกิอุระกล่าว “แต่ละบริษัทคำนึงถึงภาระภาษีศุลกากรที่ซัพพลายเออร์ต้องจ่ายในระดับที่แตกต่างกัน และผลประกอบการยังคงมีการเปลี่ยนแปลง”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







