หนาวนี้ทั่วโลกเสี่ยง 'POLAR VORTEX' รอบใหม่ ค่าไฟจ่อพุ่งทะยาน

ความเสี่ยงที่จะเกิดปรากฎการณ์ 'Polar Vortex' พุ่งสูงขึ้นและจะทำให้หลายพื้นที่ทั่วโลกเผชิญ 'ภัยหนาว' รุนแรงกว่าครั้งที่แล้ว คาดกระทบการใช้พลังงานทั่วโลกดันบิลค่าไฟพุ่ง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ช่วงฤดูหนาวปีนี้มีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิดภาวะหนาวจัดเป็นพิเศษทั่วสหรัฐ เอเชีย และบางส่วนของยุโรป เนื่องจากอาจปรากฎการณ์ "Polar Vortex" ที่ขั้วโลกขึ้นอีกครั้ง
“โพลาร์วอร์เท็กซ์" (Polar Vortex) คือกระแสลมหมุนรอบขั้วโลกเหนือ ที่ปกติจะกักเก็บมวลอากาศหนาวจัดเอาไว้ไม่ให้ไหลลงสู่ทางใต้มากเกินไป แต่หาก Polar Vortex อ่อนกำลังลง จะทำให้มีมวลอากาศเย็นจัดขยายตัวลงกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นครั้งล่าสุดคือช่วงประมาณเดือน ก.พ.-มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงปลายของฤดูหนาวแล้ว ทำให้ฤดูหนาวของปี 2024 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นฤดูหนาวที่อบอุ่นที่สุดในสหรัฐและบางพื้นที่ พลิกกลับมาหนาวเย็นสุดขั้วอีกครั้งในช่วงปลายฤดูหนาว
สำหรับปีนี้ หน่วยงานด้านการพยากรณ์อากาศหลายแห่งระบุว่า แม้ฤดูหนาวปีนี้กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์ และมีหลายปัจจัยที่บ่งชี้ว่าอาจจะคล้ายกับปีก่อนที่ไม่ได้หนาวเหน็บมากนัก แต่ก็มีสัญญาณบ่งชี้เช่นกันว่า อาจจะเกิดปรากฎการณ์ Polar Vortex ขึ้นอีกครั้ง และอาจทำให้ต้นทุนพลังงานของภาคครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น ในช่วงที่ผู้บริโภคทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาค่าครองชีพและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
หากเกิดภาวะดังกล่าวจะส่งผลให้ "ราคาพลังงาน" โดยเฉพาะค่าไฟและค่าก๊าซพุ่งสูงขึ้นอีก เพิ่มภาระค่าครองชีพในช่วงที่เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจหลักทั่วโลกแสดงสัญญาณอ่อนแรง
ในสหรัฐเองนั้น ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งขึ้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากบรรดา "ดาต้าเซ็นเตอร์" และการประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ทำให้ต้นทุนไฟฟ้าขายส่งมีราคาแพงขึ้น และภาระเหล่านี้กำลังถูกส่งต่อถึงผู้บริโภคโดยตรง
“ฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศผันผวนที่สุดของปี” เจนนิเฟอร์ ฟรานซิส นักวิทยาศาสตร์อาวุโสจาก Woodwell Climate Research Center กล่าว
ฟรานซิสเสริมว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงมีผลต่อหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่พลังงาน การขนส่ง ไปจนถึงค้าปลีก โดยเฉพาะเมื่อฤดูหนาวของซีกโลกเหนือมักตรงกับช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น คริสต์มาสและตรุษจีน ที่การเดินทางและการขนส่งสินค้าต้องดำเนินตามกำหนดเวลา
ขณะที่ แดน ฮาร์ต นักอุตุนิยมวิทยาจากบริษัท OpenWeather ในลอนดอน กล่าวว่า “ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมเป็นต้นไป ควรจับตาโพลาร์วอร์เท็กซ์อย่างใกล้ชิด”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีหลักประกันว่าอุณหภูมิในช่วงหน้าหนาวนี้จะลดลงอย่างรวดเร็วจนกระทบอุปสงค์พลังงานอย่างมีนัยสำคัญ เช่นในปีที่แล้วโพลาร์วอร์เท็กซ์ก็เพิ่งเกิดขึ้นในเดือนมี.ค.
การเปลี่ยนเฟสในการกวัดแกว่งของลมทุกรอบสองปี (Quasi-Biennial Oscillation: QBO) กำลังพัดไปทางตะวันออก ซึ่งอาจจุดชนวนให้เกิดปรากฏการณ์ “Sudden Stratospheric Warming" (SSW) หรือการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศอย่างฉับพลัน ซึ่งมักส่งผลให้โพลาร์วอร์เท็กซ์อ่อนกำลังลง (และทำให้มวลอากาศเย็นจัดที่ถูกกักเก็บไว้ไหลออกมา) และหาก SSW เกิดขึ้นเร็วกว่าปีก่อน ก็อาจส่งผลอย่างมากต่อฤดูหนาวปีนี้
ปีนี้สหรัฐอาจหนาวขึ้น
แมตต์ โรเจอร์ส ประธานกลุ่ม Commodity Weather Group ระบุว่า ฤดูหนาวปีนี้ของสหรัฐน่าจะหนาวกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย และเย็นกว่าปีที่แล้วแน่นอน ขณะที่ AccuWeather Inc. คาดว่า ภาคตะวันตก ตอนกลาง และตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีโอกาสมีหิมะตกมากขึ้นในปีนี้ ยกเว้นเมืองชายฝั่งใหญ่ตั้งแต่วอชิงตันจนถึงนิวยอร์ก
ด้านสำนักงานพลังงานสหรัฐ (EIA) ประเมินว่า ครัวเรือนในแถบมิดเวสต์อาจต้องจ่ายค่าก๊าซในฤดูหนาวปีนี้เพิ่มขึ้นราว 2% และภาคใต้อาจเพิ่มขึ้นราว 4% ซึ่งจะเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี แต่ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มีสาเหตุหลักมาจากราคาขายปลีกไฟฟ้าที่สูงขึ้น เนื่องจากดีมานด์จากศูนย์ข้อมูล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่า
นอกจากนี้ ความหนาวจัด ยังอาจส่งผลเสียต่อพืชข้าวสาลีฤดูหนาวบางส่วน หากอุณหภูมิลดต่ำโดยไม่มีหิมะคลุมปกป้องพืชจากความเย็น อาจกระทบผลผลิตช่วงต้นปีหน้า
จีน-ญี่ปุ่น-ยุโรป ก็หนาวด้วย
แจ็ก ลู นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุในบันทึกว่า ปรากฏการณ์ “ลานีญา (La Niña)” ซึ่งทำให้อุณหภูมิผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกลดต่ำ อาจทำให้หลายพื้นที่ของ "จีน" หนาวกว่าปกติ และเพิ่มความเสี่ยงของภาวะขาดแคลนก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอุปสงค์ก๊าซอาจพุ่งขึ้นพร้อมกับราคาก๊าซทั้งขายส่งและขายปลีกที่แพงขึ้น
ด้านพยากรณ์อากาศของทางการจีนก็สอดคล้องกัน โดยคาดว่าอุณหภูมิหน้าหนาวปีนี้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ
รูปแบบอากาศที่คล้ายกันยังเพิ่มโอกาสที่ "ญี่ปุ่น" ทางตอนใต้จะหนาวเย็น แต่ทางตอนเหนืออาจจะอุ่นกว่า ส่วนภาคตะวันตกจะใกล้ค่าเฉลี่ย โดยเอ็มมา เบลดส์ จากหน่วยงาน MetService ของนิวซีแลนด์ ซึ่งให้ข้อมูลด้านอุตุนิยมวิทยาแก่ผู้ค้าพลังงานในญี่ปุ่น ระบุว่า มีแนวโน้มที่ญี่ปุ่นจะมีหิมะตกมากขึ้นในปีนี้ โดยเฉพาะฝั่งทะเลญี่ปุ่น (Sea of Japan) หรือฝั่งตะวันตก
ส่วนใน "ยุโรป" นั้น แม้แบบจำลองสภาพอากาศหลักคาดว่า ยุโรปมีแนวโน้มเผชิญฤดูหนาวที่อุ่นกว่าค่าเฉลี่ย แต่หลักฐานล่าสุดบ่งชี้ว่า อาจเกิดคลื่นความหนาวได้บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในยุโรปตอนเหนือและตอนกลาง โดยแบบจำลองบางชุดคาดว่า Polar Vortex จะอ่อนตัวผิดปกติในเดือนพ.ย.–ธ.ค.
ราคาก๊าซยุโรปผันผวนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนด้านพลังงานกำลังประเมินความรุนแรงของความหนาว แม้ว่ายุโรปจะมี คลังก๊าซสำรองในระดับสูง แต่คลื่นความหนาวระลอกแรกต้นฤดูกาลได้กดดันให้บางประเทศเริ่มดึงก๊าซออกมาใช้แล้ว และหากความหนาวรุนแรงมากขึ้น ยังอาจกระทบต่อผลผลิตข้าวสาลีฤดูหนาวของสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเป็นผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ของโลก
“โอกาสที่ Polar Vortex จะอ่อนตัวลงในปีนี้มีมากขึ้น” ร็อบ ฮัตชินสัน นักอุตุนิยมวิทยาจากบริษัท Meteomatics AG ในสวิตเซอร์แลนด์กล่าว “แต่ผลกระทบจริงจะขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาและตำแหน่งของมวลอากาศเย็นที่หลุดจากขั้วโลก และเรายังต้องต่อสู้กับแนวโน้มโลกร้อน ซึ่งทำให้การเกิดความหนาวจัดในยุโรปยิ่งยากขึ้นทุกปี”







