ทำไมต้องลบประวัติศาสตร์ | อาหารสมอง

ผมสังเกตมานานแล้วว่าประชาชนที่อยู่ภายใต้ระบอบอำนาจนิยม (Authoritarian Regime) ดังเช่น กลุ่ม CLMV (Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam) เพื่อนบ้านของเรามักมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศตนเองที่จำกัดมาก
และเข้าใจอย่างผิดๆ ด้วย ผมเพิ่ง “ตาสว่าง” เมื่อได้อ่านหนังสือชื่อ Erasing History : How Authoritarian Regimes Rewrite the Past (2024) โดย Jason Stanley ลองมาดูกันว่าผมฉลาดขึ้น และเข้าใจความเป็นไปของโลกได้ดีขึ้นอย่างไรจากหนังสือเล่มนี้
ระบอบอำนาจนิยม หมายถึง ระบอบที่อำนาจในการปกครองตกอยู่ในมือของผู้นำเพียงคนเดียว หรือของกลุ่ม หรือของครอบครัว หรือของพรรคเดียวโดยเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนถูกจำกัดหรือบั่นทอน
ส่วนแนวคิด Fascism หรืออุดมการณ์การเมืองแบบ “ขวาตกขอบ” คือ ต้องการรัฐบาลเผด็จการที่ปกครองโดยพรรคเดียวหรือผู้นำคนเดียว ซึ่งควบคุมทุกลักษณะของสังคม ไม่ว่าจะเป็น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม หรือชีวิตส่วนตัว โดยอ้างว่าเป็นไปเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวและเพื่อความเข้มแข็งของชาติ สองแนวคิดนี้สอดคล้องกัน และคนที่รับกรรมก็คือประชาชนผู้สูญเสียอธิปไตย สิทธิเสรีภาพ ความมั่นคงในชีวิต ฯลฯ
Stanley เขียนหนังสือก่อนเล่มนี้ว่า Fascism ทำงานอย่างไรและให้ข้อคิดว่าระบอบอำนาจนิยมสามารถรักษาอำนาจไว้ได้ โดยมิได้ใช้ความรุนแรงหรือกฎหมายเป็นเครื่องมือแต่เพียงอย่างเดียว หากใช้การควบคุมความทรงจำหมู่ (Collective Memory) ของประชาชนด้วยการเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ บิดเบือนและลบประวัติศาสตร์ เพื่อทำให้การปกครองดูเป็น “ธรรมชาติ เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นความรักชาติ”
กลวิธีที่ระบอบอำนาจนิยมใช้ในการควบคุมประวัติศาสตร์มีดังนี้ (1) เขียนเรื่องราวในอดีตใหม่ โดยตระหนักดีว่าการเขียนใหม่ การบิดเบือน การจงใจตกหล่น หรือละเลยบางความจริงในประวัติศาสตร์นั้นทำให้เกิดคำจำกัดความว่าใครเป็น “พลเมืองที่แท้จริง” ใครเป็นและใครไม่เป็น (คนไม่เป็นคือศัตรูของชาติ) การสร้างความทรงจำหมู่แบบนี้คือการสร้าง “อัตลักษณ์ของชาติ” ขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เป็นเครื่องมือของรัฐเผด็จการ
(2) ใช้ความทรงจำที่ได้เลือกมาเป็นเครื่องมือ กลวิธีนี้เชิดชูความหลังว่าเคยยิ่งใหญ่ เป็นช่วงเวลาแห่งความสามัคคี ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความสงบ ความรุ่งเรือง ฯลฯ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ระบอบในการนำสิ่งเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง
นอกจากนี้ยังละเลยไม่กล่าวถึง ความรุนแรงฆ่าฟัน การล้างเผ่าพันธุ์ การเป็นอาณานิคม หรือการกดขี่ทางการเมืองเพื่อให้เห็นว่าอดีตนั้นเคยยิ่งใหญ่ การ “ทำความสะอาดประวัติศาสตร์” เช่นนี้เป็นไปเพื่อสร้างภาพว่าระบอบของตนเองคือผู้กู้ชาติให้กลับมาสู่ความภาคภูมิใจในชาติของตนเองอีกครั้ง
(3) การศึกษาและการโฆษณาชวนเชื่อ คือเครื่องมือสำคัญของระบอบเผด็จการโดยควบคุมหลักสูตรการเรียนการสอน เรื่องราวของประวัติศาสตร์ที่สอนเยาวชนให้สอดคล้องกับเรื่องเล่าที่สร้างขึ้นในข้อ (1) และ (2) ผ่านตำราเรียน สื่อทุกประเภท พิพิธภัณฑ์ อนุสาวรีย์ แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ โดยมุ่งสู่การสนับสนุนเรื่องราวที่ได้แต่งไว้
นอกจากนี้การเรียนประวัติศาสตร์ไม่เน้นการคิดวิเคราะห์สืบสวนหาความจริงเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจปัจจุบัน หากเป็นไปเพื่อการล้างสมองและสร้างอารมณ์แห่งความจงรักภักดีต่อระบอบและผู้นำ เมื่อเด็กโตขึ้นก็จะยอมรับเวอร์ชั่นของประวัติศาสตร์ที่ถูกเลือกมาให้จดจำว่าเป็น “ความจริงโดยธรรมชาติ”
อีกกลวิธีที่ได้ผล คือ สอนประวัติศาสตร์ให้น้อยที่สุดและสอนเฉพาะเวอร์ชั่นที่ได้เลือกสรรมาให้โดยไม่ต้องให้เกิดความคิดที่หลากหลายในการตีความ หรือการวิเคราะห์เพื่อหาบทเรียนอันมีค่าจากประวัติศาสตร์ ดังนั้น เยาวชนจึงมีความคิดที่คับแคบ ขาดความสามารถในการคิดวิเคราะห์
Stanley ย้ำว่าที่เรียกลบประวัติศาสตร์ (Erasing History) นั้นจริงๆแล้วไม่ได้ลบทั้งหมดทิ้ง หากเลือกที่จะลบบางตอนออกไปเพื่อทำให้เกิดภาพว่าผู้นำเผด็จการคือผู้กู้ชาติภายใต้ระบอบที่จะกอบกู้สู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง การคิดต่อต้านโค่นล้มระบอบนั้นเกิดได้ยากเพราะกลัวความรุนแรง (ฆ่า ทรมาน ขังคุก) และกฎหมาย (ทรยศชาติ ถูกถอนสัญชาติ เนรเทศ) อีกทั้งกลัวว่าจะไม่ได้กลับไปสู่ความรุ่งเรืองความสงบอีกครั้งดังที่มีการวาดภาพไว้
เมื่อประวัติศาสตร์ถูกเขียนขึ้นใหม่เพื่อรับใช้อำนาจ ประชาชนจึงมิได้สูญเสียเฉพาะอดีตของตนเองเท่านั้น หากสูญเสียความสามารถในการจินตนาการอนาคตใหม่ที่แตกต่างออกไปด้วย ประชาชนอยู่ในวังวนของกลอุบาทว์ที่ทำให้เห็นว่าผู้นำเผด็จการและระบอบคือทางเลือกที่ดีที่สุดของเขา
การที่ระบอบอำนาจนิยมทำให้ประชาชนขาดความเข้าใจร่วมกันในเรื่องราวของอดีต ทำให้การรวมตัวกันต่อต้านเป็นไปได้ยาก เนื่องจากการแต่งเรื่องใหม่ทำให้เกิดความสับสนในการเชื่อความจริงของอดีต เมื่อหลายฝ่ายถกเถียงในตอนแรกโดยต่างก็มีเวอร์ชั่นของความจริงในอดีตของตนเอง สังคมก็จะสับสนไปด้วยและขาดความไว้วางใจนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการจนไม่มีที่พึ่งทางความคิด
กล่าวโดยสรุป ระบอบอำนาจนิยมหรือแม้แต่ระบอบประชาธิปไตยในบางสมัยใช้สิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า Epistemic Control กล่าวคือควบคุมข้อมูล ข่าวสารและความรู้เพื่อครอบงำวิถีคิดของประชาชน “ให้รู้อย่างที่ต้องการให้รู้แต่ไม่ต้องคิด” ทั้งหมดก็คือการ “หลอกลวง” ประชาชนให้อยู่ในกำมือของผู้นำเผด็จการ
กัมพูชาเป็นตัวอย่างของระบอบอำนาจนิยมที่ตรงกับที่กล่าวมาอย่างที่สุด การกระทำต่างๆ ของฮุนเซ็นถอดมาจากตำราเผด็จการผู้นำทั่วโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน และจะจบลงในลักษณะที่คล้ายกันอย่างไม่ต้องบอก ฮุนเซ็นทั้งสร้างและจรรโลงอำนาจผ่านการลบประวัติศาสตร์และสร้าง “เรื่องเล่า” ขึ้นใหม่ และทำให้คนเขมรจมปลักอยู่ในสถานะของความสามารถในการคิดที่น่าสมเพชอย่างยิ่ง







