ส่องโอกาสเศรษฐกิจจีนใน ‘กว่างซี’ ดู 'คลองผิงลู่' Game-Changer การค้าจีน-อาเซียน

มองโอกาสไทย-จีน ใน 'กว่างซี' ที่ขยับบทบาทสู่การเป็นประตูแห่งศูนย์กลางเศรษฐกิจ-โลจิสติกส์ภาคตะวันตก พาดูโครงการ 'คลองผิงลู่' อภิมหาโปรเจกต์คลองขุดที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ จับตาเป็น Game-Changer การค้าจีน-อาเซียน
เขตปกครองตนเอง "กว่างซีจ้วง" ถูกพูดถึงบ่อยขึ้นตามวาระเศรษฐกิจจีนช่วงไม่กี่ปีมานี้ ในฐานะ “ประตู” ที่จีนใช้เชื่อมภาคตะวันตกตั้งแต่ฉงชิ่ง เฉิงตู ยูนนาน กับภูมิภาค “อาเซียน” ทั้งทางบกและทางทะเล ผ่านยุทธศาสตร์แผนแม่บทระเบียงการค้าเชื่อมทางบกกับทางทะเลแห่งภาคตะวันตก (NWLSC)
การพัฒนาภาคตะวันตกเป็นหัวใจของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 14 ซึ่งประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เน้นลดความเหลื่อมล้ำและกระจายความมั่งคั่ง ปี 2024 ขบวนรถไฟ–เรือในระเบียงนี้เพิ่มทะลุ 10,000 ขบวน จากเพียง 900 ขบวนในปี 2019 สะท้อนถึงการเร่งขยายห่วงโซ่อุปทานเชื่อมจีนกับอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ
ในโอกาสที่ไปกว่างซีเป็นครั้งแรก ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมและเห็นการพัฒนาอย่างรวดเร็วหลายด้านของเมืองประตูสู่อาเซียนในครั้งนี้ โดยเฉพาะ “การขนส่งและโลจิสติกส์” ที่เชื่อมต่อ “ทางบก-ทางราง-ทางทะเล” อย่างเป็นระบบ และมีการเปิดประตูทางออกสู่ทะเลแห่งใหม่ที่จะพลิกโฉมการค้าของจีนและอาเซียนต่อจากนี้
“คลองผิงลู่” ทางออกทะเลแห่งใหม่ พลิกโฉมการค้า
“คลองผิงลู่” (Pinglu Canal) นับเป็นโครงการขุดคลองเดินเรือ "ขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่" นับตั้งแต่โครงการขุดคลองใหญ่ The Grand Canal ที่เชื่อมจากหางโจวขึ้นไปปักกิ่ง ตั้งแต่ยุคราชวงศ์สุย ในปี ค.ศ. 587 ผ่านมากว่า 1,400 ปีในวันนี้ คลองผิงลู่คืออภิมหาโปรเจกต์ที่จะเปิดทางออกสู่ทะเลแห่งใหม่ให้มณฑลกว่างซี และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของจีนฝั่งตะวันตก
คลองขุดแห่งนี้ซึ่งเปรียบเหมือน "คลองสุเอซ" ของจีน มีความยาว 134.2 กิโลเมตร เชื่อมพื้นที่ตอนในของมณฑลกว่างซี จากแม่น้ำซีเจียงในเมืองเหิงโจว มุ่งลงใต้สู่อ่าวเป่ยปู้ (อ่าวตังเกี๋ย) ที่เชื่อมกับท่าเรือชินโจว (Qinzhou Port) หรือท่าเรือน้ำลึกที่มีการขนส่งระหว่างเรือ-ระบบรางแบบอัตโนมัติแห่งแรกในประเทศจีน
ผิงลู่นับเป็นการ "เปิดประตูบานใหม่" ให้กับการค้าฝั่งตะวันตกของจีนที่จะสั้นกระชับกว่าเดิมมาก จากเดิมที่การเดินเรือสินค้าจะไปเชื่อมต่อแม่น้ำเพิร์ลเพื่อออกสู่ทางทะเลที่มณฑลกวางตุ้ง แต่หากใช้ "ทางลัด" เส้นทางใหม่ลงใต้โดยตรงผ่านคลองผิงลู่ จะช่วยลดระยะทางลงกว่า 560 กิโลเมตร หรือลดลงถึง 10 วัน สามารถประหยัดต้นทุนได้กว่า 5.2 พันล้านหยวนต่อปี และยังช่วยเสริมศักยภาพของท่าเรืออ่าวเป่ยปู้ให้เป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญของจีนตะวันตก
เส้นทางคลองขุดผิงลู่จะมีด่านปรับระดับน้ำ 3 แห่ง ได้แก่ ด่านหม่าต้าว (Madao) ด่านฉี่ฉือ (Qishi) และด่านชิงเหนียน (Qingnian) เพื่อปรับระดับน้ำตลอดเส้นทางคลองผิงลู่ที่มีระดับต่างกันถึง 65 เมตร และช่วยอำนวยความสะดวกการสัญจรของเรือขนส่งสินค้าจากระดับน้ำที่แตกต่างกัน โดยคลองแห่งนี้สามารถรองรับเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 5,000 TEU ได้
นอกจากประโยชน์ด้านการค้าแล้ว คลองผิงลู่ยังถูกออกแบบให้เป็นโครงการน้ำอเนกประสงค์ที่รองรับระบบชลประทาน น้ำประปา การควบคุมน้ำท่วม และรักษาระบบนิเวศทั้งทางบกและทางน้ำ โดยมีการวางเส้นทางสัญจรของสัตว์และระบบติดตามคุณภาพน้ำอัตโนมัติในทุกช่วงเส้นทาง
โครงการนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2022 ด้วยงบลงทุนกว่า 7.27 หมื่นล้านหยวน (ราว 3.3 แสนล้านบาท) ปัจจุบันมีการก่อสร้างคืบหน้าแล้วกว่า 80% และคาดว่าจะสามารถเปิดทดลองได้ตามกำหนดภายในปีหน้า 2026
ความสำคัญของคลองผิงลู่ยังสะท้อนถึง "ยุทธศาสต์การขนส่งและโลจิสติกส์ในภาพใหญ่ของจีน" โดยเป็นหนึ่งในโครงการยุทธศาสตร์แห่งชาติที่ปักกิ่งบรรจุไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่แล้ว อยู่ในแผนแม่บท NWLSC และเป็นหนึ่งในแผนการนำร่องพัฒนาเส้นทางขนส่งทางน้ำในประเทศเมื่อปี 2020 ที่มี "4 แนวตั้ง และ 4 แนวนอน และ 2 เครือข่าย
ความสำเร็จของผิงลู่อาจเป็นตัวอย่างไปสู่เมกะโปรเจกต์คลองขุดอื่นๆ ตามมาในอนาคต เช่น โครงการคลองเซียงกุย (Xianggui Canal) ที่เชื่อมแม่น้ำแยงซีตอนบนกับแม่น้ำเพิร์ล และจะทำให้การค้าการขนส่งภายในของจีนที่เชื่อมต่อกับโลกยิ่งคล่องตัวขึ้น
"ความสำเร็จในการสร้างคลองขุดผิงลู่จะช่วยให้เกิดช่องทางการขนส่งที่สั้นที่สุดและเร็วที่สุดไปสู่ประเทศในอาเซียน ทำให้สินค้าจากภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนสามารถใช้เส้นทางคลองขุดนี้ออกสู่ทะเลได้ สามารถประหยัดการเดินทางลงได้ประมาณ 560 กิโลเมตร ช่วยตอบโจทย์การพัฒนาภาคตะวันตก เชื่อมโยงอ่าวเป่ยปู้ และสามารถส่งเสริมภูมิภาคอาเซียนไปพร้อมกันได้" เหมิง ทั่ว วิศวกรแผนกวิศวกรรม บริษัท Guangxi Pinglu Canal Construction Co., Ltd. กล่าวกับคณะผู้สื่อข่าวไทย
ท่าเรืออัตโนมัติชินโจวเชื่อม ‘ราง-เรือ’
ปลายทางของคลองผิงลู่คือ “ท่าเรือฉินโจว” (Qinzhou Port) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามท่าเรือหลักรอบอ่าวเป่ยปู้ ประกอบด้วยชินโจว เป๋ยไห่ และฝ่างเฉิงก่าง ความพิเศษของท่าเรือชินโจวคือการเป็นท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์อัตโนมัติแห่งแรกของจีนที่เชื่อมต่อทางทะเลและรถไฟ มีระบบอัตโนมัติครบวงจร ตั้งแต่เครนยกตู้คอนเทนเนอร์ รถขนส่งไร้คนขับ ไปจนถึงระบบจัดเก็บอัตโนมัติ การใช้ระบบ AI และกล้องตรวจจับสามารถลดการใช้แรงงานคนลงเหลือเพียง 10% ก่อนยกตู้ขึ้นรางวิ่งเข้าสาย NWLSC ไปยังภาคตะวันตกและยังเชื่อมต่อไปถึงเอเชียกลางและยุโรปได้ภายในเวลาอันสั้น
ปี 2024 ท่าเรืออ่าวเป่ยปู้มีปริมาณการขนส่งสินค้า 449 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.8% และมีการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ 9.015 ล้านตู้มาตรฐาน เพิ่มขึ้น 12.4% ทำให้ติดอันดับท็อป 10 ของท่าเรือชายฝั่งทั่วประเทศ สำหรับสินค้าไทย ท่าเรือแห่งนี้เชื่อมต่อกับท่าเรือแหลมฉบัง และยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการส่งผลไม้และสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีน
โหย่วอี้กวาน ด่านหลักทุเรียนไทย
ห่างจากชายฝั่งเพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ด่านโหย่วอี้กวาน (Youyiguan) และด่านรถไฟผิงเสียง (Pingxiang) ทำหน้าที่เป็น “ประตูบก–ราง” เชื่อมจีนกับอาเซียนตอนล่าง ด่านโหย่วอี้กวานเมืองฉงจั่ว ถือเป็นจุดผ่านแดนทางบกที่สำคัญที่สุดระหว่างจีนกับเวียดนาม และเป็นเส้นทางหลักที่ผลไม้ไทยโดยเฉพาะ “ทุเรียนและมังคุด” ใช้ผ่านเข้าสู่ตลาดจีน เจ้าหน้าที่ศุลกากรจีนเปิดเผยว่า ในช่วงฤดูผลไม้มีรถบรรทุกสินค้าจากไทยผ่านด่านนี้มากกว่า 200 ตู้ต่อวัน โดยขณะนี้ด่านกำลังอัปเกรดเป็นสมาร์ทพอร์ต ใช้ระบบตรวจสอบสินค้าด้วย AI และกล้องอัจฉริยะเพื่อลดขั้นตอนและรักษาความสดของสินค้า
ส่วนด่านรถไฟผิงเสียงซึ่งตั้งอยู่ใกล้กัน ถือเป็นด่านทางรางแห่งแรกของจีนที่สามารถนำเข้าผลไม้ได้โดยตรง มีระบบคลังสินค้าและพิธีการศุลกากรครบวงจรในพื้นที่เดียว รองรับสินค้าได้ถึง 2.8 ล้านตันต่อปี และมีขบวนรถไฟระหว่างประเทศวิ่งทุกวัน ช่วยย่นระยะเวลาและต้นทุนในการขนส่งสินค้าระหว่างอาเซียนกับจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาเลเซียตั้ง ‘นิคมคู่แฝด’ รองรับ
โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดนี้ยังเชื่อมต่อกับ “นิคมอุตสาหกรรมจีน–มาเลเซีย” (China–Malaysia Qinzhou Industrial Park) ที่ตั้งอยู่ในเมืองเดียวกัน นิคมแห่งนี้เป็นหนึ่งในโครงการความร่วมมือระดับประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หรือ BRI ทำหน้าที่เป็นฐานการผลิตและโลจิสติกส์สำคัญของจีนฝั่งตะวันตก โดยมีบริษัทต่างชาติ ทั้งจากสหรัฐ ฝรั่งเศส สิงคโปร์ และมาเลเซีย เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่อย่างพลังงานสะอาด เหล็กกล้า และยานยนต์ไฟฟ้า
ความร่วมมือจีน–มาเลเซียผ่าน “นิคมคู่แฝด” (Twin Parks) ระหว่างชินโจวและเมืองกวนตันในมาเลเซีย ทำให้การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดนมีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนยังเปิดโอกาสให้เอกชนไทยเข้าร่วมการลงทุนในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และโลจิสติกส์เย็น ซึ่งจะต่อยอดการค้าผลไม้ไทยที่กำลังขยายตัวรวดเร็ว
ทูตไทยย้ำจีนยังเป็นโอกาส ขอแค่รู้เขา-รู้เรา
นางสาวเบญจมาศ ตันเวทยานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง เปิดเผยว่า "กว่างซีจ้วง" มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการสร้างความเชื่อมโยงทางการค้าให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่างอาเซียน จีน เอเชียกลาง และยุโรป ผ่านยุทธศาสตร์ “ระเบียงการขนส่งเชื่อมทางบกกับทางทะเลแห่งภาคตะวันตก” หรือ NWLSC
กว่างซีไม่ได้เป็นเพียงแค่ "ตลาด" แต่เป็น "ประตู" สำคัญที่จีนใช้เชื่อมโยงกับอาเซียน และยังเป็นเส้นทางสำคัญสำหรับสินค้าไทยในการเข้าสู่ตลาดจีนตอนใน ตะวันตก ไปจนถึงยุโรป
ด้านขนส่งและโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้าจากไทยเข้าจีนที่เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สามารถทำได้หลายทาง อาทิ รถขนส่ง, รถไฟ, เรือ, เครื่องบิน นับว่าในปัจจุบันมีความสะดวกเป็นอย่างมาก ซึ่งการขนส่งทางบกใช้ระยะเวลาเพียง 2 วันก็ถึงจีนแล้ว ถือว่ามีประสิทธิภาพ และช่วยเก็บรักษาคุณภาพความสดใหม่ของสินค้าจากเกษตรกรไทยได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้า "ทุเรียนไทย"
ปัจจุบัน การนำเข้าทางบกจะมีด่านทางถนน 4 ด่านได้แก่ ด่านโหย่วอี้กวาน, ด่านตงซิง, ด่านหลงปัง และด่านสุยโข่ว แต่โหย่วอี้กวาน (Youyiguan) นั้นเป็นด่านที่ใหญ่ที่สุด มีศักยภาพรองรับทุเรียนจากไทยได้ถึง 220 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อวัน และกำลังอัปเกรดเป็นสมาร์ทพอร์ท ส่วนด่านทางบกอื่นๆ เพิ่งเปิดรับทุเรียนไทยได้ทางราง โดยมีด่านรถไฟ "ผิงเสียง" ซึ่งอยู่ใกล้กับโหย่วอี้กวาน สินค้าจะถูกขนส่งทางรถยนต์ไปถึงเมืองด่งดังของเวียดนาม จากนั้นจะยกตู้คอนเทนเนอร์ขึ้นบนรถไฟเพื่อเข้าจีนที่ผิงเสียง ซึ่งช่วยลดความแออัดที่ด่านทางบกได้
ไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของกว่างซีรองจากเวียดนาม แต่ยังขาดดุลอยู่ การส่งออกจากกว่างซีไปไทยเพิ่มขึ้น 13.35% มูลค่า 19,953 ล้านหยวน ขณะที่การนำเข้าจากไทยอยู่ที่ 6,825 ล้านหยวน เพิ่มขึ้น 10.12% โดยจีนส่งออกสมาร์ทโฟน/อะไหล่เครื่องจักรมาไทย ส่วนไทยส่งออกหลักคือ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์, ทุเรียน, มังคุด และยางพารา
ปัจจุบันมีบริษัทใหญ่ของไทยเข้ามาลงทุนในมณฑลกว่างซีจำนวนมาก เช่น เอสซีจี, ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งกำลังจะเปิดสาขาที่ 2 และบริษัทมิตรผล ที่ร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น และยังนับผู้เล่นรายใหญ่เนื่องจากกว่างซีเป็นแหล่งปลูกอ้อยและผลิตน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในจีน มีการดำเนินธุรกิจแบบ "Green Economy" โดยนำชานอ้อยไปทำไฟฟ้า และวัสดุทำถนน
ส่วนในมุมของซอฟต์พาวเวอร์นั้น คนกว่างซีชอบประเทศไทย ชอบคนไทย อาหารไทย และนิยมไปเที่ยวไทย มีความเชื่อมั่นในแบรนด์ไทยสูง เช่น ทุเรียนต้องของไทยถึงจะอร่อย มวยไทยต้องบัวขาว และอาหารไทย เช่น ร้านเสวย ที่นี่ยังมีสถาบันถึง 48 แห่งที่เปิดสอนภาษาไทย และมีคนไทยประมาณ 2,000 คน โดย 1,500 คนเป็นนักเรียน/นักศึกษาที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนจีน
สำหรับความกังวลเรื่องที่สินค้าจีนจะทะลักมาไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อการส่งออกจากจีนไปสหรัฐลดลง และอาเซียนกลายเป็นตลาดส่งออกของจีนที่เติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น กงสุลใหญ่ฯ มองว่า "จีนยังคงเน้นการพัฒนาคุณภาพสูง (high-quality development) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศอื่นรวมถึงไทยด้วย" จึงแนะนำให้ไทย "รู้เขา-รู้เรา" และถามตัวเองว่าเราต้องการอะไร การค้า การลงทุน องค์ความรู้ หรือเทคโนโลยีนวัตกรรม
จีนมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงและพร้อมที่จะแลกเปลี่ยน ไทยเองก็จำเป็นต้องยกระดับเศรษฐกิจด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสร้างการพัฒนาคุณภาพสูงเช่นกัน และในโอกาส 50 ปีความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นโอกาสดีที่เราจะมองไปถึงโอกาส คิดในทางบวก และปรับตัวให้เป็นประโยชน์ต่อกัน
หมายเหตุ: สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นำคณะสื่อมวลชนไทยในโครงการ “มองจีนยุคใหม่ สิ่งที่สื่อไทยควรรู้ ครั้งที่ 7” เดินทางเยี่ยมชมเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ระหว่างวันที่ 26-30 ต.ค.







