‘สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว’ เปิดภารกิจ 4 เดือนไทยในเวทีโลก

ท่ามกลางความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก ภาษีทรัมป์เล่นงานทุกประเทศไม่ไว้หน้า แถมไทยยังมีปัญหากับกัมพูชาเพื่อนบ้าน แต่จู่ๆ ไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกะทันหันที่เข้ามาด้วยภารกิจ “ยุบสภาภายในสี่เดือน”
เกิดคำถามว่านโยบายต่างประเทศไทยภายใต้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล จะตอบโจทย์ประเทศได้อย่างไร เรื่องนี้ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีคำตอบ
- ความท้าทายของการทำงานระยะสั้น
สีหศักดิ์: ใช่ครับ สี่เดือนระยะสั้นก็ต้องเอาปัญหาเฉพาะหน้า เราไม่ได้อยู่นานก็อาจใช้โอกาสนี้วางรากฐานเพราะว่าโลกกำลังเปลี่ยน การต่างประเทศไทยก็ต้องปรับเปลี่ยน
ความรู้สึกของผมตั้งแต่ตอนอยู่กระทรวงแล้วเกษียณมา สถานะของเราในเวทีระหว่างประเทศลดลงไปผมจะชอบใช้คำนี้แล้วตอนหลังคำนี้หลายคนก็ไปใช้ต่อ คือผมรู้สึกว่าประเทศไทยหายจากต่อเรดาร์
ตอนเป็นทูตที่สุดท้ายที่ฝรั่งเศส เขาสนใจภูมิภาคนี้และมียุทธศาสตร์อินโดแปซิฟิก ประเทศในยุโรปหลายประเทศมียุทธศาสตร์นี้ พอพูดถึงอินโดแปซิฟิกทุกคนจะพูดถึงการผงาดของจีนการก้าวขึ้นมาของอินเดีย แล้วก็อาเซียนกำลังเป็นศูนย์กลางสำคัญในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก
เมื่อพูดถึงอาเซียนที่เขาพูดถึงเป็นประเทศแรกคืออินโดนีเซีย ประเทศใหญ่ที่สุด เป็นผู้นำทางด้านประชาธิปไตย มีบทบาทในระดับโลกอยู่ในกลุ่มจี 20 ประเทศที่ 2 ก็คือสิงคโปร์ สิงคโปร์เป็นประเทศเล็ก แต่ต่อยหนัก มีบทบาทในเวทีโลก กล้าที่จะมีจุดยืนในเรื่องสำคัญๆ ไม่หลบไปหลบมา 3 มาเลเซีย ประสบความสำเร็จในการพัฒนา จีดีพีสูงเป็นผู้นำในโลกมุสลิม 4 เวียดนาม ประสบความสำเร็จเพราะทำได้เร็ว เจรจาการค้ากับหลายประเทศประสบผลสำเร็จรวดเร็วมาก แต่ระบบการเมืองของเวียดนามเป็นระบบพรรคเดียวซึ่งแตกต่างจากไทย
- รับมือโลกด้วยการทูตเชิงรุก
สีหศักดิ์: หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยกับเกาหลีใต้ใกล้เคียงกัน เผลอๆ ไทยอาจเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจ การเมืองเข้มแข็ง ซอฟต์พาวเวอร์โดดเด่น
"เราก็ต้องยอมรับว่า การเมืองของเราไม่นิ่ง มีการปฏิวัติ ส่วนหนึ่งก็ทำให้ประเทศตะวันตกเขาห่างจากเราไป เศรษฐกิจเราก็ไม่โดดเด่น" แต่แม้มีข้อจำกัดถ้าเรามีการทูตที่คล่องตัว ภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์ที่มีการแข่งขันกันมากขึ้นกลายเป็นภูมิเศรษกิจ ประเทศไทยสามารถดำเนินการการทูตเชิงรุกได้ ไม่จำเป็นต้องตั้งรับอย่างเดียว บางเรื่องอาจต้องใช้พลังของอาเซียน และบางเรื่องถ้าสองมหาอำนาจสหรัฐ-จีนเห็นความสำคัญของไทย เราก็สามารถสร้างสมดุลได้
“แต่เขาไม่เห็นความสำคัญของเราเลยแล้วจะบาลานซ์อย่างไร”
- ความท้าทายนำไทยกลับสู่เรดาร์โลก
สีหศักดิ์: การต่างประเทศต้องเริ่มต้นภายในบ้าน การมีเอกภาพพูดเป็นเสียงเดียวกันจะมีอำนาจในการต่อรอง อย่างกรณีกัมพูชาเขารู้สึกว่ารัฐบาลไทยไม่เข้มแข็งเขาจึงรุกเราตลอด
"ตอนที่รัฐบาลหาคนมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศต้องการได้คนที่มีประสบการณ์ เป็นมืออาชีพ ผมไม่ใช่นักการเมืองทำงานตามเนื้อผ้า ก็พยายามใช้ประสบการณ์ที่มี"
- แนวทางการทำงานของ กต.
สีหศักดิ์: ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเก่ง ต้องทำให้เขารู้สึกภูมิใจในความเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ เห็นผลงาน อยู่ในแนวหน้าในเรื่องการต่างประเทศ
อีกประเด็นที่สำคัญคือผมเคยเป็นโฆษกกระทรวงต่างประเทศมาก่อน เมื่อก่อนโฆษกกระทรวงนานๆ ทีจะแถลงข่าวเพราะคนไม่สนใจเรื่องการต่างประเทศ อาทิตย์แรกที่เป็นโฆษกกระทรวงปี 2002 งานแรกที่เจอคือการเผาสถานทูตไทยที่พนมเปญ พอกลับมาเป็นปลัดกระทรวงเจอเรื่องพระวิหาร เจอเรื่องกัมพูชาตลอด ก็ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจว่า กระทรวงต่างประเทศทำอะไร สิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างไร
"ทั้งที่บางครั้งเรื่องการต่างประเทศมันเรื่องไกลตัว เราต้องดึงเรื่องการต่างประเทศมาใกล้ๆ ตัวประชาชนให้มากที่สุด"
- บทบาททัพหน้าของภาคธุรกิจไทย
สีหศักดิ์: นี่คือการทูตยุคใหม่ ที่ต้องตอบโจทย์ของประเทศต้องเปิดโอกาสให้กับประเทศ ไม่ใช่ไปสร้างความสัมพันธ์ให้ดีอย่างเดียว ไม่ใช่แค่ไปพูดเรื่องเศรษฐกิจทั่วๆไป เราต้องรู้เลยว่าประเทศนั้นมีอะไรที่สำคัญต่อประเทศไทย ผมขอรองนายกฯ เอกนิติ ซึ่งท่านเป็นประธานครม. เศรษฐกิจให้เอากระทรวงต่างประเทศไปอยู่ใน ครม. เศรษฐกิจ เพื่อจะได้ทราบว่านโยบายเศรษฐกิจไปทางไหน เช่นในการไปประชุมผู้นำเอเปค ทูตต้องปรับบทบาท เราไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ แต่พูดถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ, เศรษฐกิจดิจิทัล, เศรษฐกิจสีเขียว, ธรรมาภิบาลเอไอ
นี่คือการทูตยุคปัจจุบันที่ไม่ใช่แค่ประเด็นเดิมๆ อย่างสันติภาพ ความขัดแย้งที่ยังคงพูดถึง แต่การทูตเชิงรุกคือการทูตที่เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ หน้าที่ทูตไม่ใช่เชื่อมความสัมพันธ์อย่างเดียวแต่ต้องหาโอกาสให้กับประเทศ ดังนั้นต้องฝึกอบรมกันใหม่ให้ทูตเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล เรื่องเอไอ เรื่องเทคโนโลยี
- ความพร้อมของคน กต.
สีหศักดิ์: ผมว่าเขาพร้อม เพราะเขาต้องการทำให้เห็นว่า สิ่งที่เราทำนั้นตอบสนองผลประโยชน์ของประเทศไทย มีความภาคภูมิใจในงานที่ทำอย่างที่เรียกว่า deliverables ผมก็พยายามบอกพวกน้องๆ ที่กระทรวงว่าต้องปรับการทำงานไปสู่การทูตยุคใหม่ ตอบโจทย์หาโอกาสให้กับประเทศ
“เราอาจไม่สามารถทำได้ 100% แต่อย่าให้สี่เดือนผ่านไปโดยไม่มีเข็มทิศ ต้องรู้ว่าในระยะยาวจะเดินไปเส้นทางไหน”
- สถานการณ์เมียนมา
สีหศักดิ์: ถ้าเขายังไม่มีสันติภาพอย่างแท้จริงเราก็ได้รับผลกระทบ เรามีผู้ลี้ภัยจากการสู้รบอีกเป็นแสน เขาควรจะกลับไปสร้างประเทศ เราต้องดูแลไม่ให้กลายเป็น lost generation อีกส่วนหนึ่งคือการค้าชายแดน
แน่นอนสันติภาพต้องเกิดจากภายใน คนของเขาทุกฝ่ายต้องตระหนักว่าถ้าไม่พูดคุยกันย่อมไม่มีสันติภาพ เมียนมาเป็นประเทศที่ไม่มีสันติภาพอย่างแท้จริงตั้งแต่เป็นเอกราช ถ้าเราสนับสนุนให้เขาพูดคุย ปรองดอง มีสันติภาพก็เป็นผลประโยชน์ของประเทศไทย
ไทยพยายามสนับสนุนโน้มน้าว ต้องทำร่วมกับอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน อินเดีย แต่ประเทศไทยควรอยู่ในแนวหน้า ถ้าเราผนึกกำลังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องการเห็นสันติภาพผ่านกระบวนการพูดคุยเขาก็อาจเริ่มพูดคุยกันบ้าง
เรื่องเมียนมาไทยต้องทำมากขึ้นทั้งเรื่องชายแดน เรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ส่งเสริมให้เริ่มมีการเจรจากับชนกลุ่มน้อยโดยต้องทำร่วมกับอาเซียน
- ปัญหาไทย-กัมพูชาจะแก้อย่างไร
สีหศักดิ์: ผมมารับหน้าที่ในช่วงที่ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาแย่พอดี และยังไม่เห็นทางออกทางการทูตเพราะว่าเขายังไม่พร้อมที่จะเจรจา สังเกตได้จากกัมพูชาไม่พูดเรื่องทวิภาคีเลย แต่จะไปยูเอ็น ไปศาลโลก ประเด็นคือทำอย่างไรให้กัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจาทวิภาคี มาพูดคุยกันอย่างจริงจังว่าปัญหานี้เราจะแก้จะปรับกันอย่างไร ตอนแรกพื้นที่ทางการทูตไม่เปิดเพราะเขายังไม่พร้อม เราก็สนับสนุนฝ่ายทหาร สิ่งที่กระทรวงต่างประเทศทำคือไปชี้แจงท่าทีของฝ่ายเรา
แต่พอช่องทางการทูตเริ่มเปิดก่อนประชุมอาเซียนซัมมิต ตั้งแต่เปลี่ยนรัฐบาลนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต แสดงความยินดีกับนายกรัฐมนตรีอนุทินตั้งแต่วันแรกบอกว่าอยากฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่ง่ายเพราะมีความรู้สึกของประชาชนทั้งสองฝ่าย
- เบื้องหลังสปีชยูเอ็น
สีหศักดิ์: ตอนไปนิวยอร์ก ก็ได้เจอกับปรัก สุคน รัฐมนตรีต่างประเทศก็พูดคุยกันดี เป็นนักการทูตด้วยกันแม้อยู่ในความขัดแย้งก็ต้องรักษาช่องทางการพูดคุย เขาขึ้นสปีชก่อน เขาพูดประมาณเที่ยง ผมพูดบ่ายสามโมง ผมนั่งฟังอยู่ที่บ้านท่านทูตกำลังทานข้าวก็คิดว่าเขาคงจะออกมาแบบซอฟต์ขึ้น แต่ปรากฏว่าเขาเล่นประเทศไทยบอกว่าเขาเป็นเหยื่ีอ ผมก็เลยต้องแก้สปีชตรงนั้นเลย ต้องพูดตามความรู้สึก ผมบอกแล้วก็ให้น้องพิมพ์ตรงนั้นเลย พอถึงคิวผมก็พิมพ์เสร็จพอดี
ผมพูดด้วยความรู้สึกจริงๆ ใครเป็นเหยื่อกันแน่ เราช่วยเขามาจริงๆ งานแรกของผมในกระทรวงต่างประเทศผมอยู่โต๊ะกัมพูชาตอนที่เขาเกิดความขัดแย้งในประเทศ เราเปิดชายแดนรับผู้อพยพเป็นแสนคน เราไปสร้างโรงเรียน สร้างถนน
"อยากให้รู้ว่าประเทศไทยมีความหวังดี แต่เป็นการส่งสัญญาณของฝ่ายไทยว่า ถ้าเขาจะเล่นเกมนี้เราก็เล่นตามนี้ก็ได้ มันมีอยู่2 เส้นทางจะไปเส้นทางสันติภาพ หรือไปเส้นทางความขัดแย้ง ซึ่งจะมีแต่ความสูญเสียมากขึ้นต้องคิดให้ดี"
- การเข้ามาของสหรัฐ
สีหศักดิ์: สหรัฐเสนอตัวเองมาเป็นผู้ประสานสันติภาพ คนทั่วไปถามว่าทำไมเราให้สหรัฐ แต่เราก็เอาประธานอาเซียนเข้ามาด้วย สหรัฐต้องการเห็นทรัมป์เป็นผู้สร้างสันติภาพ แต่ถ้ามองให้ดีนี่จะเป็นโอกาสของไทยได้
"ผมบอกถ้าเขาจะเล่นบทบาทนี้อย่าเอาอะไรบนแผ่นกระดาษเท่านั้น ไม่ใช่เซ็นแล้วก็ไปบ๊ายบาย ต้องเป็นสันติภาพที่แท้จริง แล้วต้องไปช่วยคุยกับกัมพูชาด้วยว่า เขาก็ต้อง compromise ต้องถอนออกไป ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เราเล่นตามเกมส์สหรัฐ"
คนชอบคิดว่าเราเป็นประเทศเล็ก เราจะต้องเล่นตามเกมส์สหรัฐ แน่นอนเขาเป็นมหาอำนาจ เขาย่อมมีอำนาจในการกดดัน แต่ถ้าเราสามารถใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นประโยชน์ของเรา มันก็ไปด้วยกันได้ นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า joint decoration (ถ้อยแถลงร่วม) ในที่สุด แม้สหรัฐเรียกว่า peace accord แต่สำหรับเราคือเส้นทางไปสู่สันติภาพ ในคำกล่าวของนายก ก็พูดว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เรากำลังจะก้าวข้ามพลิกหน้าใหม่แต่จะต้องมีการปฏิบัติ
สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมไม่ชวนจีน เราก็คอยอยู่เหมือนกัน จีนไม่เสนอตัว มีถามนิดหน่อยแต่ก็ปล่อยให้เดินไปตามนั้น
สิ่งที่ไทยได้คือ เราต้องการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ทั้งความตึงเครียดชายแดน ลดอาวุธ ทุ่นระเบิด สแกมเมอร์ การรุกล้ำ ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะแก้ไขได้ในหนึ่งเดือน แต่สิ่งแรกคือต้องนำความสงบปลอดภัยมาให้ประชาชน ทำมาค้าขายใช้ชีวิตกันได้ตามปกติ
- MOU 43/44 ต้องดีเบตอีกหรือไม่
สีหศักดิ์: อันนี้เป็นเรื่องภายในของเรา ตามที่แถลงนโยบายว่าต้องลงประชามติ ซึ่งการตัดสินใจของประชาชนต้องทำบนพื้นฐานความรู้ ถ้าไม่มี MOU แล้วจะมีแผนอะไรรองรับ และแผนนั้นต้องไม่ด้อยกว่าสิ่งที่ยกเลิกไป
- ประเมินความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา
สีหศักดิ์: ดีขึ้นมาสัก 70% การเจรจา ชายแดน กำลังทหารลดระดับความร้อนแรงลงมา มีความพร้อมที่จะพูดคุยกันอย่างจริงจังจริงใจ โทนไปทางนั้น เริ่มพูดถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไป ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่ต้องอธิบายกับประชาชนชาวไทยว่า ในการเจรจาเรารักษาอธิปไตย ประโยชน์ของประเทศ และเกียรติภูมิของชาติมาโดยตลอด
"ไทยกับกัมพูชาต้องอยู่ด้วยกัน เราต้องอยู่กับเพื่อนบ้านให้ได้ทุกประเทศ เพราะว่าอนาคตต้องไปด้วยกัน"







