จีนบุกฮอลลีวูดด้วย ‘ซีรีส์แนวตั้ง’ ความยาว 2 นาที เขย่าตลาดบันเทิงโลก

จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในยุคโควิด ‘ซีรีส์แนวตั้ง’ จากจีนกำลังกลายเป็น ‘คลื่นความบันเทิงลูกใหม่’ ที่โลกต้องจับตา คลิปยาวไม่ถึงสองนาที แต่กระตุ้นอารมณ์ได้ครบทั้งหัวเราะ น้ำตา และความสะเทือนใจ จนกลายเป็นธุรกิจพันล้านที่กำลังบุกสหรัฐ ฮอลลีวูด และทั่วโลก ผ่าน ‘ศิลปะเล่าเรื่องความเร็วสูง’
ในยุคที่คลิปไม่ถึงสองนาทีก็สามารถเรียกเสียงหัวเราะ น้ำตา และอารมณ์สะเทือนใจได้ “ซีรีส์แนวตั้ง” (短剧/ Vertical Drama) จึงถือกำเนิดขึ้น ละครแบบใหม่ที่ตัดตอนเพียง 1–2 นาที และถ่ายในแนวตั้งเหมือนคลิปบน TikTok
ละครสั้นเหล่านี้ ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นอารมณ์พอใจอย่างรวดเร็ว (Dopamine Hit) ให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้น ติดตาม และอยากดูตอนต่อไปทันที เนื้อเรื่องดำเนินฉับไว เต็มไปด้วยพล็อตดราม่าอย่าง “มนุษย์หมาป่า”, “แม่เลี้ยงใจร้าย”, “มหาเศรษฐีเจ้าอารมณ์” หรือแม้แต่ “ฉันคือประธานบริษัท” หลายตอนจบด้วยจุดหักมุมแรง ๆ ที่ชวนให้ปลายนิ้วกดตอนถัดไปโดยไม่รู้ตัว
พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ การผสมระหว่างซีรีส์กับวิดีโอสั้น ที่ถูกสร้างมาให้ “ดูง่าย ติดเร็ว และเสพต่อเนื่อง” และในตอนนี้ “จีน” คือผู้จุดกระแสให้เทรนด์นี้ขยายไปทั่วโลก เข้ามายัง “ไทย” และมี “สหรัฐ” เป็นตลาดใหญ่อันดับสองแล้ว จนวงการฮอลลีวูด และ Netflix เอง ก็เริ่มหันมาจับตามองอย่างจริงจัง
จากไวรัลยุคโควิด สู่ธุรกิจพันล้านบุกโลก
สำหรับ “ซีรีส์แนวตั้ง” เริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากที่จีนในช่วงโควิด-19 โดยมักจะเสนอให้ดูฟรีสองสามตอนแรก ก่อนจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้เพื่อปลดล็อกส่วนที่เหลือ ด้วยเนื้อเรื่องฉับไว และให้ความตื่นเต้นเร้าใจอย่างรวดเร็วในไม่กี่นาที อุตสาหกรรมนี้จึงโตอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจาก China Netcasting Services Association แสดงให้เห็นว่า ในปลายปี 2024 มีผู้คนกว่า 660 ล้านคนในจีนที่รับชมละครแนวตั้ง อีกทั้งรายได้รวมของรายการเหล่านี้สูงถึง 50,400 ล้านหยวน หรือราว 2 แสนล้านบาท มากกว่ารายได้บ็อกซ์ออฟฟิศของภาพยนตร์จีนทั้งประเทศในปีเดียว ตามข้อมูลจากบริษัทวิจัย DataEye
ในปีต่อมา ปรากฏการณ์นี้ก็เริ่ม “ข้ามพรมแดน” ไปทั่วโลก แพลตฟอร์มสตรีมมิงละครสั้นจากจีนอย่าง ReelShort, DramaBox และ GoodShort ทยอยเปิดให้บริการใน App Store และ Google Play ในหลายประเทศ โดย “สหรัฐ” กลายเป็นตลาดใหญ่ที่สุดรองจากจีน
ความสำเร็จระดับโลกเริ่มต้นจากผลงานไวรัลอย่าง “The Double Life of My Billionaire Husband” ซีรีส์รักดราม่าเกี่ยวกับหญิงสาวที่แต่งงานกับทายาทตระกูลมหาเศรษฐีผู้มีปัญหา ซึ่งมียอดชมทะลุ 485 ล้านครั้ง บน ReelShort เพียงแพลตฟอร์มเดียว และดันให้แอปฯนี้ขึ้น “อันดับสอง” บนชาร์ตดาวน์โหลดของ Apple App Store ในสหรัฐ และเคยแซง TikTok ขึ้นไปครองอันดับหนึ่งในหมวดบันเทิงช่วงสั้น ๆ ด้วย
ปัจจุบัน ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงดึงดูดผู้ชม แต่ยังสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรมบันเทิงดิจิทัล ในไตรมาสแรกของปี 2025 การดาวน์โหลดแอปฯละครแนวตั้งทั่วโลก เพิ่มขึ้นกว่า “6 เท่า” (370 ล้านครั้ง) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และยอดซื้อในแอปพลิเคชันรวมของแพลตฟอร์มต่าง ๆ เกือบแตะ 700 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสแรก ซึ่งเพิ่มขึ้น “เกือบ 4 เท่า” เมื่อเทียบเป็นรายปี จากข้อมูลของ Sensor Tower บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลแอปพลิเคชัน
ซีรีส์แนวตั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่ “วิดีโอสั้น” อีกต่อไป แต่คือ “รูปแบบใหม่ของการเล่าเรื่อง” ที่จีนกำลังส่งออกสู่โลก
แอชลีย์ ดูดาเรนอค ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษา ChoZan ในฮ่องกง กล่าวอธิบายว่า เสน่ห์ของละครสั้นแนวนี้คือ “เป็นสื่อที่ให้โดพามีนสูง (High Dopamine) แต่ดูง่ายไม่ซับซ้อน (Low Friction)”
กลยุทธ์การผลิต: ความเร็วเหนือทุกอย่าง และต้นทุนต่ำจนน่าทึ่ง
เบื้องหลังความสำเร็จของซีรีส์แนวตั้ง ไม่ได้อยู่ที่พล็อตสุดดราม่าหรือฉากหักมุมแรงเท่านั้น แต่คือ “สูตรการผลิต” ที่เร่งสปีดจนเกินจินตนาการ ทีมถ่ายทำสามารถปิดกล้องซีรีส์ทั้งเรื่องได้ภายในเวลาไม่ถึงสิบวัน
บริษัทผู้สร้างใช้แนวคิดที่เรียกว่า “โยนสปาเกตตีใส่ผนัง” (Throwing Spaghetti at the Wall) คือการผลิตเนื้อหาจำนวนมากในงบประมาณที่ต่ำมาก เพื่อให้บางเรื่อง “ติด” และกลายเป็นไวรัล ขณะที่ต้นทุนที่เหลือยังอยู่ในระดับที่รับความเสี่ยงได้
“โดยปกติแล้ว ทีมถ่ายหนังทั่วไปจะถ่ายได้แค่ 4–5 หน้าในบทต่อวัน แต่ในการถ่ายละครแนวตั้ง เราต้องถ่ายประมาณ 10 หน้าในหนึ่งวัน และปิดกล้องทั้งเรื่องภายในแค่ 8–10 วันเท่านั้น ซึ่งเร็วมากเมื่อเทียบกับการถ่ายทำฮอลลีวูดแบบดั้งเดิม” เซี่ยง ซือหนิง ผู้กำกับซีรีส์แนวตั้งกล่าว
เพื่อลดค่าใช้จ่ายลงอีกระดับ ผู้สร้างหลายรายเลือกยกกองไปถ่ายทำในจีน โดยนำนักแสดงจากอเมริกาและออสเตรเลียมาถ่ายในสตูดิโอที่ออกแบบให้ “จำลองฉากอเมริกัน” ได้สมจริง ค่าใช้จ่ายที่เคยอยู่ราว 130,000–200,000 ดอลลาร์ในสหรัฐ ถูกบีบให้เหลือเพียง 100,000–150,000 ดอลลาร์ หากถ่ายในจีน
หัวใจของความสำเร็จอยู่ที่ “สตูดิโอประสิทธิภาพสูง” อย่าง Shudian Studio ในเมืองตงกว่าน ซึ่งเปลี่ยนพื้นที่เพียง 8,000 ตารางเมตรให้กลายเป็นเมืองจำลองขนาดย่อม มีทั้งธนาคาร โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ห้องพิจารณาคดี ไปจนถึงเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ทุกอย่างอยู่ในระยะไม่กี่ก้าว ทำให้ทีมงานสามารถถ่ายเสร็จหนึ่งซีรีส์ได้ภายใน 3–7 วันเท่านั้น
นอกจากนี้ กระบวนการสร้างยังเชื่อมระหว่างจีนกับสหรัฐอย่างชัดเจน โดยบทละครส่วนใหญ่ถูกเขียนโดยทีมในจีน ก่อนจะถูกส่งมาให้ผู้กำกับเซี่ยงในลอสแอนเจลิส
ทั้งนี้ คณะทำงานอย่างทีมถ่ายทำและทีมโปรดักชันส่วนใหญ่เป็นชาวจีน แต่นักแสดงเกือบทั้งหมดเป็น “ชาวตะวันตก” เพื่อให้เข้ากับรสนิยมผู้ชมในตลาดอเมริกาและยุโรป
ฮอลลีวูดเริ่มจับตา ‘ซีรีส์แนวตั้ง’ จากจีน
หลังจากใช้เวลาหลายปีมองอยู่ห่าง ๆ ตอนนี้วงการบันเทิงสหรัฐ กำลังเริ่มหันมาจับตา “ละครแนวตั้ง” อย่างจริงจัง รูปแบบซีรีส์สั้นที่ถือกำเนิดในจีน และกำลังกลายเป็นพลังใหม่ในอุตสาหกรรมบันเทิงโลก
ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา “Netflix” ประกาศเปิดตัว ฟีดแนวตั้งเฉพาะมือถือ (Mobile-only Vertical Feed) ที่ให้ผู้ใช้เลื่อนดูคลิปสั้นตัดต่อจากซีรีส์ของตนได้ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากความนิยมของ TikTok ซึ่งกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมการเสพสื่อทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่เดือนถัดมา “Disney” ก็เข้าร่วมขบวน โดยประกาศลงทุนในแพลตฟอร์มละครแนวตั้ง DramaBox ผ่านโครงการ Accelerator Programme ที่ใช้เฟ้นหาและสนับสนุนสตาร์ตอัปมีศักยภาพสูงในวงการเทคโนโลยีและบันเทิง
ผู้กำกับชาวจีนอย่างเซี่ยง ซือหนิง กล่าวว่า “แอปฯวิดีโอสั้นอย่าง TikTok ได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเสพความบันเทิงไปโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพียง ‘เรื่องของเวลา’ ก่อนที่ค่ายตะวันตกทั้งหมดจะเข้าสู่ตลาดซีรีส์แนวตั้ง”
แม้ว่ากระแสในฝั่งตะวันตกจะเริ่มแรงขึ้น ทว่าจนถึงตอนนี้ “แพลตฟอร์มจากจีน” ยังคงครองการนำอยู่ โดยมีผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) ในสหรัฐอย่างเซี่ยง ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมสำคัญ” ระหว่างอุตสาหกรรมผู้ผลิตจากจีน กับผู้ชมต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก
- ซีรีส์แนวตั้งแปลไทย -
ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมซีรีส์แนวตั้ง
แม้ว่า “ซีรีส์แนวตั้ง” จะกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจบันเทิงที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ทั้งรายได้และจำนวนผู้ชมพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น กลับซ่อน “บททดสอบครั้งใหญ่” ขึ้น
เพราะเมื่อความนิยมขยายตัวเร็ว คำถามเรื่อง “ความยั่งยืน” ก็เริ่มดังขึ้นตามมา ตั้งแต่ความเสี่ยงจากการพึ่งพาการโฆษณาสูง และการแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในตลาดจีน
โคโค่ หลี่ โปรดิวเซอร์จากแพลตฟอร์มละครสั้น Reelbuzz กล่าวว่า ตลาดในประเทศจีนตอนนี้ “มีการแข่งขันสูงมากเกินไป ”
เธอบอกว่า ต้นทุนการผลิตทุกด้านเพิ่มขึ้น ทั้งค่าทีมงาน นักแสดง และสตูดิโอ ทำให้ผู้ผลิตต้องคิดหัวข้อหรือเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่กว่าคู่แข่งอย่างมาก เพื่อดึงดูดผู้ชม
ระหว่างพักจากการดูแลกองถ่ายทีมงานชาวอินโดนีเซียที่สตูดิโอ Shudian เธอกล่าวเสริมว่า
“แต่ในต่างประเทศ ตอนนี้เขาเพิ่งอยู่ในช่วงพัฒนาเหมือนที่จีนเคยอยู่เมื่อสองปีก่อน”
นี่หมายความว่า “ตลาดต่างประเทศ” เช่น อินโดนีเซีย สหรัฐ หรือแม้แต่ไทย ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จึงมีโอกาสมากกว่า และยังไม่ต้องแข่งขันรุนแรงเท่าจีน
ด้านฝั่งตะวันตกก็เริ่มขยับแล้ว Netflix เปิดฟีดแนวตั้งเฉพาะมือถือ และ Disney เข้าร่วมลงทุนใน DramaBox สะท้อนว่าบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่เริ่มเห็นโอกาสในตลาดใหม่นี้
นอกจากเรื่องการแข่งขันแล้ว ในตลาดจีน ยังมีความท้าทายด้าน “กฎระเบียบ” เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติจีน (NRTA) ส่งสัญญาณว่า จะจัดระเบียบอุตสาหกรรมนี้ โดยเตรียมตรวจสอบเนื้อหาเข้มข้นขึ้น เพื่อจัดการกับประเด็นที่ถูกวิจารณ์ ตั้งแต่พล็อตที่ช็อกผู้ชมเกินไป ตัวละครชายผู้ทรงอำนาจหรือ “CEO เจ้าสำราญ” ไปจนถึงชื่อเรื่องแนวคลิกเบตที่ใช้เรียกยอดวิว
สตาร์ตอัปหลายรายจึงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ จากเดิมที่เก็บค่าดูตอนต่อไปทีละตอน เปลี่ยนมาใช้ โมเดลดูฟรีแต่มีโฆษณา เพื่อดึงผู้ชมกลับคืน โดยมีแอปฯ Red Fruit ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ByteDance (เจ้าของ TikTok) เป็นผู้บุกเบิกแนวทางนี้
แต่สุดท้าย อนาคตของซีรีส์แนวตั้งจะขึ้นอยู่กับว่า อุตสาหกรรมจะสามารถ “รักษาสมดุลระหว่างความเร็วกับคุณภาพ” ได้หรือไม่ เพราะในโลกที่ผู้ชมพร้อมกดข้ามทุกวินาทีที่ไม่น่าสนใจ การอยู่รอดอาจไม่ได้ขึ้นกับว่า “ใครไวกว่า” หรือ “ใครเร้าใจกว่า” อย่างเดียวอีกต่อไป แต่อาจต้องมาพร้อม “คุณภาพที่ยั่งยืน”
อ้างอิง: ft, scmp, tech







