ซีอีโอยักษ์เทคมอง ‘สหรัฐเสี่ยงแพ้จีนด้าน AI’ เพราะปัญหา ‘ขาดแคลนพลังงาน’

ซีอีโอยักษ์เทคมอง ‘สหรัฐเสี่ยงแพ้จีนด้าน AI’  เพราะปัญหา ‘ขาดแคลนพลังงาน’

ซีอีโอ Microsoft และ Nvidia มองตรงกันว่า ‘พลังงาน’ คือ คอขวดที่อาจทำให้เศรษฐกิจ AI ของสหรัฐสะดุด และเสี่ยงรั้งให้ประเทศ ‘พ่ายแพ้’ จีน เนื่องจากพลังงานในสหรัฐไม่พอ ต่างจากจีนที่พลังงานทั้งถูก และมากพอ

ท่ามกลางมูลค่า “หุ้นธีมปัญญาประดิษฐ์” ที่ทะยานขึ้นไม่หยุด หลายคนอาจโฟกัสที่ความล้ำของชิป AI หรือความฉลาดของโมเดล AI ที่จะทำให้บริษัท AI โตต่อได้ แต่อันที่จริงแล้ว สิ่งที่เหล่าซีอีโอเทคฯ กังวลใจที่สุด กลับไม่ใช่ความล้ำของชิป แต่เป็น “พลังงาน” อาหารของ AI ที่ทำให้พวกมันทำงานต่อได้ หากขาด “อาหาร” แล้ว ต่อให้มีชิปสุดล้ำมากเท่าไร ก็อาจเปล่าประโยชน์

ล่าสุด ทั้ง “เจนเซน หวง” ซีอีโอของบริษัทชิป AI Nvidia และ “สัตยา นาเดลลา” ซีอีโอของ Microsoft มองตรงกันว่า “ความขาดแคลนพลังงาน” คือ สิ่งที่จะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ AI หรือกระทั่งทำให้สหรัฐพลิกเป็น “ตามหลังจีน” ได้เลย เพราะแหล่งพลังงานในจีนค่อนข้างถูกกว่า และมากเพียงพอกว่าสหรัฐ

“จีนจะเอาชนะสหรัฐในการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ได้ เนื่องจากมี ‘ต้นทุนพลังงานที่ต่ำกว่า’ และ ‘กฎระเบียบที่ผ่อนคลายกว่า’ จีนกำลังจะชนะในศึก AI” เจนเซน หวง กล่าวเตือน

คำเตือนของหวงมีขึ้น หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ยังคง “แบน” ไม่ให้บริษัท Nvidia ขายชิป AI รุ่นล้ำสมัยให้แก่จีน แม้มีการพบปะกันระหว่าง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” กับ “ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ตาม

ซีอีโอของ Nvidia กล่าวว่า ประเทศตะวันตกรวมถึงสหรัฐ และสหราชอาณาจักร กำลังถูกฉุดรั้งด้วย “ความคิดแบบมองโลกในแง่ร้าย (Cynicism)” พร้อมเสริมว่า “เราต้องการ การมองโลกในแง่ดี (Optimism) มากกว่านี้” หวงกล่าวเมื่อวันพุธ ระหว่างร่วมงาน Future of AI Summit ของหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์

หวงยังชี้ให้เห็นถึง “กฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับ AI” ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายรัฐของสหรัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่ “กฎหมายใหม่ถึง 50 ฉบับ” และเปรียบเทียบแนวทางนั้นกับ “นโยบายอุดหนุนพลังงานของจีน” ที่ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีในประเทศ สามารถใช้พลังงานราคาถูกในการขับเคลื่อนระบบ AI ในประเทศได้

“พลังงานในจีนแทบจะฟรี” เขากล่าว

รายงานของไฟแนนเชียลไทม์ส ระบุว่า จีนได้เพิ่ม “เงินอุดหนุนด้านพลังงาน” ให้แก่ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่หลายแห่งที่ดำเนินการโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน เช่น ByteDance, Alibaba และ Tencent

รัฐบาลท้องถิ่นจีนหลายแห่ง ยังได้ “เพิ่มแรงจูงใจด้านพลังงาน” หลังจากบริษัทเทคโนโลยีจีนร้องเรียนต่อหน่วยงานกำกับดูแล เกี่ยวกับต้นทุนที่สูงขึ้น จากการใช้ชิปภายในประเทศของบริษัทอย่าง Huawei และ Cambricon ซึ่งส่วนใหญ่กินพลังงานมากกว่าชิปที่ผลิตโดย Nvidia

ที่ผ่านมา หวงเคยเตือนว่า โมเดล AI ล่าสุดของสหรัฐ “ไม่ได้ทิ้งห่างคู่แข่งจีนมากนัก” และเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐ “เปิดตลาด” ให้กับชิปของ Nvidia เพื่อ “รักษาความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี” และทำให้ประเทศอื่นๆ ต้องพึ่งพาระบบนิเวศเทคโนโลยีของสหรัฐต่อไป

นี่สะท้อนให้เห็นว่า หวงอาจกังวลใจว่า “การตัดขาดตลาดจีน” อาจยิ่งผลักให้ทั้งภาครัฐ บริษัท และเครือข่ายเทคโนโลยีของจีนเลิกผูกกับเครือข่าย Nvidia และเร่งพัฒนา “ระบบนิเวศคู่ขนาน” ขึ้นมาทดแทน และหากจีนทำสำเร็จ ระบบนั้นก็อาจกลายเป็น “คู่แข่งโดยตรง” กับสหรัฐในที่สุด 

ขณะเดียวกัน “สัตยา นาเดลลา” ซีอีโอของ Microsoft กล่าวในพอดแคสต์ BG2 ว่า “ในกรณีนี้ วัฏจักรของอุปสงค์ และอุปทานเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้เลย ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเรา ไม่ใช่การมีชิปมากเกินไป แต่คือ ‘พลังงาน’ และ ‘ความสามารถในการสร้างศูนย์ข้อมูลได้เร็วพอในพื้นที่ที่มีพลังงานเพียงพอ’ ”

นาเดลลา ยังเสริมว่า “ถ้าทำสิ่งนั้นไม่ได้ คุณก็อาจจะมีชิปจำนวนมากกองอยู่ในสต๊อก ที่ผมไม่สามารถเสียบใช้งานได้ ความจริงแล้ว นั่นคือ ปัญหาของผมในตอนนี้”

“มันไม่ใช่ปัญหาการขาดแคลนชิป แต่เป็นเพราะผมไม่มีอาคารศูนย์ข้อมูล ที่พร้อมรองรับชิปเหล่านั้นได้”

ตลอดเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา “ความต้องการใช้ไฟฟ้าในสหรัฐ” แทบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ใน “ช่วง 5 ปีหลังมานี้” ความต้องการจากศูนย์ข้อมูล เริ่มพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแซงแผนการเพิ่มกำลังผลิตของบริษัทไฟฟ้าไปแล้ว

สถานการณ์นี้ทำให้นักพัฒนาศูนย์ข้อมูล ต้องหันมาเพิ่มกำลังไฟฟ้าในรูปแบบที่เรียกว่า behind-the-meter ซึ่งหมายถึงการ “จ่ายไฟตรงเข้าสู่ศูนย์ข้อมูลโดยไม่ผ่านโครงข่ายไฟฟ้าหลัก” เพื่อให้มีไฟใช้เพียงพอ และต่อเนื่องมากขึ้น
 

 

อ้างอิง: fttech

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์