'จีน' กำลังทำให้ทั้งโลกเห็นว่า 'ฮ่องกง' ไม่จำเป็นต้องเสรี ก็เป็นศูนย์กลางการเงินโลกได้

ฮ่องกงกำลังเปลี่ยนทิศทางเชิงกลยุทธ์โดยหันไปสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับตะวันออกกลางเพื่อลดการพึ่งพาชาติตะวันตก
KEY
POINTS
- ฮ่องกงกำลังเปลี่ยนทิศทางเชิงกลยุทธ์โดยหันไปสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับตะวันออกกลางเพื่อลดการพึ่งพาชาติตะวันตก
- การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลของชาติตะวันตกเกี่ยวกับกฎหมายความมั่นคงใหม่ที่อาจกระทบสถานะศูนย์กลางการเงินของฮ่องกง
- ผู้นำฮ่องกงเชื่อว่าเมืองสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ในฐานะเมืองของโลกโดยไม่จำเป็นต้องยึดถือค่านิยมประชาธิปไตยแบบตะวันตก
- เพื่อดึงดูดการลงทุนใหม่ ฮ่องกงได้ส่งเสริมความเป็นมิตรต่อชาวมุสลิมและจัดตั้งองค์กรไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศตามแนวทางของจีน
หลังจากตั้งอยู่มานานกว่า 110 ปี ในที่สุดมัสยิดจาเมีย (Jamia Mosque) ขนาดเล็กในฮ่องกงก็รอดพ้นจากการถูกรื้อถอนโดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างหวุดหวิด เมื่อปี 2022 มัสยิดแห่งนี้ได้รับการประกาศให้เป็นโบราณสถานทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ช่วยให้รอดมาได้อาจเป็นเพราะประเด็นทาง "ภูมิรัฐศาสตร์" มากกว่าความงามทางสถาปัตยกรรม
มัสยิดสีเขียวอ่อนหลังนี้ดูราวกับหลุดออกมาจากหนังสือภาพเก่า ด้วยส่วนโค้งปลายแหลม ยอดมินาเร็ต (หอคอยสูงของมัสยิด) ขนาดเล็ก และร่มเงาจากต้นไทรใหญ่ แม้จะถูกอาคารสูงระฟ้ารายล้อม แต่มัสยิดยังคงให้บรรยากาศที่เงียบสงบแบบหมู่บ้าน มัสยิดแห่งแรกถูกสร้างขึ้นในปี 1849 เพื่อรองรับพ่อค้าและทหารจากอินเดียในยุคที่ฮ่องกงเพิ่งก่อตั้งเป็นอาณานิคมภายใต้การปกครองของอังกฤษ แต่ในเมืองอย่างฮ่องกงที่มีการรื้อถอนและก่อสร้างใหม่ตลอดเวลา แทบไม่มีอาคารใดรอดจากการทุบทิ้งเพียงเพราะความงามอย่างเดียว ผู้มาสักการะมัสยิดระบุว่า ตอนนี้รัฐบาลกำลังรณรงค์ให้ฮ่องกงเป็น "เมืองที่เป็นมิตรกับชาวมุสลิม" ตั้งแต่การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบฮาลาล ไปจนถึงการสนับสนุนร้านอาหารที่รองรับชาวอิสลาม
ซับซาลี ข่าน ชายชราผู้มีพ่อเป็นชาวปากีสถานและแม่เป็นชาวจีน ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณมัสยิดแห่งนี้มานานกว่า 70 ปี ให้ความเห็นว่า "ตะวันออกกลางคือแหล่งเงินทุน" ในมุมมองของเขา การหาตลาดใหม่เป็นเรื่องที่ "สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง" ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังทำสงครามภาษี และชาวตะวันตกก็ยังคง "ปล่อยข่าวลือ" ว่าระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ของฮ่องกงกำลังจะล่มสลาย
หากเดินลงเนินไปไม่ไกลในย่านศูนย์กลางธุรกิจของฮ่องกง นักการทูตจากตะวันตกกลับมองสถานการณ์ในแง่ร้ายกว่านั้น ในรายงานล่าสุดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เกี่ยวกับสภาพการลงทุนในฮ่องกง ระบุว่า กฎหมายความมั่นคงที่ประกาศใช้ในปี 2024 ภายใต้แรงกดดันจากปักกิ่ง ได้สร้างความกังวลในหมู่นักลงทุน เพราะมี "คำนิยามที่กว้างและคลุมเครือเกินไป" สำหรับคำต่างๆ เช่น "จารกรรม" "ความลับของรัฐ" และ "การแทรกแซงจากต่างชาติ"
ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปก็แสดงความกังวลต่อ "ความสามารถของฮ่องกงในการรักษาความน่าดึงดูดในระยะยาวในฐานะศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ" หลังจากที่นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและนักข่าวหลายสิบคนถูกจับกุม และบางคนถึงกับถูกจำคุกเพียงเพราะสวมเสื้อยืดที่มีคำขวัญประท้วง
การเน้นเรื่อง "ธุรกิจ" ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะฮ่องกงพยายามรักษาบทบาทของตัวเองในฐานะ "ประตูสู่ตลาดเสรีของจีนแผ่นดินใหญ่" และยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับ 3 ของโลก ฝ่ายตะวันตกมองว่าฮ่องกงมีทางเลือกเพียงสองทาง คือฮ่องกงจะรักษาสถานะ "Asia’s World City" ไว้ได้ ก็ต่อเมื่อยังคงรักษาสิทธิพื้นฐานและหลักนิติธรรมที่มีมาตั้งแต่สิ้นสุดการปกครองของอังกฤษในปี 1997 ซึ่งจีนเองก็เคยให้คำมั่นว่าจะคงไว้ภายใต้หลัก "หนึ่งประเทศ สองระบบ" แต่หากละทิ้งสิ่งเหล่านี้ ฮ่องกงก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นเพียงเมืองหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ และสูญเสียเอกลักษณ์พิเศษของตัวเองไป
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลฮ่องกงมักกล่าวหาว่าผู้วิจารณ์ต่างชาติ "โกหก" เรื่องการสูญเสียเสรีภาพ และยืนยันว่าหลัก "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ไม่ได้หายไป แต่ได้รับการ "ปรับปรุง" เพื่อให้เมืองมีความปลอดภัยและมั่นคงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประท้วงใหญ่ในปี 2019 ซึ่งเจ้าหน้าที่จีนเชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาและประเทศตะวันตกอื่นๆ
ตอนนี้ผู้นำฮ่องกงมีเหตุผลใหม่ในการโต้ตอบ พวกเขาปฏิเสธที่จะเลือกระหว่าง "การเป็นเมืองหนึ่งของจีน" กับ "การเป็นเมืองของโลก" หรือ Asia’s World City อย่างที่อธิบายไปตอนแรก โดยหากคำว่า "โลก" หมายถึง "ตะวันตก" เจ้าหน้าที่ฮ่องกงยืนยันว่า ฮ่องกงสามารถเจริญรุ่งเรืองได้โดยไม่ต้องยึดตามค่านิยมประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม และยกตัวอย่างว่า แม้เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วผู้จัดการกองทุนตะวันตกบางรายเคยประกาศว่าจีน "ไม่น่าลงทุน" แต่ไม่นานมานี้พวกเขากลับทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เข้าซื้อหุ้นของบริษัทจีนชั้นนำที่เข้าตลาดในฮ่องกง
พร้อมกันนั้น เมื่อสหรัฐและจีนเข้าสู่การแข่งขันระยะยาว ฮ่องกงก็เริ่มขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของตัวเองออกไป ผู้นำฮ่องกงเดินทางไปเยือนประเทศในอ่าวอาหรับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่นๆ เพื่อเชิญชวนบริษัทขนาดใหญ่ นักลงทุน และกองทุนครอบครัวเข้ามาลงทุน ฮ่องกงออกพันธบัตรอิสลาม (sukuk) และนำเสนอระบบกฎหมายและบริการทางการเงินของตัวเองให้ประเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road) ของจีนใช้ประโยชน์ ผู้เชี่ยวชาญในฮ่องกงคนหนึ่งกล่าวว่า เขากำลังช่วยเหลือผู้ประกอบการจีนที่ต้องการขยายธุรกิจและระดมทุนในตะวันออกกลาง
เมื่อเดือนต.ค. เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนได้เปิดตัว "องค์การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ" (International Organisation for Mediation) ซึ่งตั้งอยู่ในฮ่องกง โดยมีรองรัฐมนตรีต่างประเทศของจีนเป็นประธาน องค์กรนี้จะทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างรัฐบาล หรือระหว่างบริษัทต่างๆ โดยใช้แนวทางแบบจีนที่เน้น "การเจรจาและความกลมเกลียว" แทนการเผชิญหน้า ประเทศที่เข้าร่วมในระยะแรก ได้แก่ เคนยา นิการากัว ปากีสถาน และเวเนซุเอลา
แม้องค์กรใหม่นี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่นักการทูตจากตะวันตกกลับกังวลว่าจีนกำลังใช้มันเพื่อผลักดัน "รูปแบบการปกครอง" ที่ตัวเองต้องการ โดยเสนอแนวทางที่เน้นผลประโยชน์และความยืดหยุ่น แทนที่จะอิงกับ "สิทธิทางกฎหมายแบบตะวันตก" เจ้าหน้าที่จีนกล่าวว่า ศูนย์ไกล่เกลี่ยนี้สอดคล้องกับ "โครงการริเริ่มเพื่อธรรมาภิบาลโลก" (Global Governance Initiative) ซึ่งเป็นชุดแนวคิดที่ไม่ได้ยึดหลักการจากตะวันตกที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นผู้สนับสนุน
ขณะเดียวกัน จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง กล่าวว่าสถาบันใหม่นี้มีความสำคัญเทียบเท่ากับ "ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ" (International Court of Justice) และ "ศาลอนุญาโตตุลาการถาวร" (Permanent Court of Arbitration) ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ซึ่งการเปรียบเทียบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะศาลอนุญาโตตุลาการเคยทำให้จีนไม่พอใจอย่างมากจากคำตัดสินเรื่องข้อพิพาททะเลจีนใต้
"ถึงเวลาที่เราต้องเลิกใช้แบบอย่างทางการเมืองในปี 1997 มาเป็นมาตรฐานสำหรับฮ่องกงแล้ว" เรจินา อิพ สมาชิกสภานิติบัญญัติและสภาบริหารของฮ่องกงกล่าว เธอมองว่า ระบบหลายพรรคที่อังกฤษทิ้งไว้ให้นั้นเสื่อมสลายกลายเป็นเวทีของประชานิยมและความวุ่นวาย ฮ่องกงยังคงต้องการทำธุรกิจกับลอนดอน นิวยอร์ก และเมืองตะวันตกอื่นๆ ต่อไป พร้อมทั้งคงระบบกฎหมายที่น่าเชื่อถือในด้านพาณิชย์ไว้ แต่สำหรับเธอแล้ว ตะวันออกกลางคือภาพสะท้อนของ "ระเบียบโลกใหม่" ที่กำลังก่อตัวขึ้น เธอยกตัวอย่างว่า "ดูไบเป็นตัวอย่างที่ดี คุณไม่จำเป็นต้องมีประชาธิปไตยแบบตะวันตกก็เป็นศูนย์กลางการเงินได้"
กระแสโลกาภิวัตน์กำลังเปลี่ยนไปและแตกออกเป็นหลายขั้วอำนาจ เมื่ออำนาจของตะวันตกเริ่มลดลง ฮ่องกงในฐานะเมืองพาณิชย์ที่ผสมผสานวัฒนธรรมมานับตั้งแต่ก่อตั้ง จึงมองเห็นโอกาสในการสร้างผลประโยชน์จากทุกฝ่ายได้พร้อมกัน







