จับสัญญาณ ‘ฟองสบู่ AI’ เตือนระวัง ‘ปรับฐาน’ เหตุมูลค่าหุ้นสูงเกินจริง

จับสัญญาณ ‘ฟองสบู่ AI’ เตือนระวัง ‘ปรับฐาน’ เหตุมูลค่าหุ้นสูงเกินจริง

จับสัญญาณ ‘ฟองสบู่ AI’ หลังตลาดหุ้น 'สหรัฐ-เอเชีย' ร่วงแรงวานนี้ (5พ.ย.68) สะท้อนความกังวลด้าน AI นักลงทุนมหาเศรษฐี-สถาบัน เตือนระวัง ‘ปรับฐาน’ เหตุมูลค่าหุ้นสูงเกินจริง

สัญญาณความกังวลเกี่ยวกับ “ฟองสบู่ AI” เริ่มชัดเจนขึ้น วานนี้(5พ.ย.)ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปิดลบ  เนื่องจากนักลงทุนพร้อมใจกัน “เทขาย” หุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตามแนวโน้มของตลาดสหรัฐ 

จุดเริ่มต้นมาจาก บริษัทซอฟต์แวร์ Palantir ของสหรัฐได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ดีกว่าคาดการณ์แต่ ราคาหุ้นของบริษัทกลับ ร่วงลงถึงประมาณ 8% เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับ “มูลค่า” ที่แท้จริงของบริษัทที่มีราคาต่อกำไรล่วงหน้า สูงถึงกว่า 200 เท่า นำไปสู่ความกังวลมูลค่าของบริษัทซอฟต์แวร์ รวมถึง แนวคิด AI อาจไม่มั่นคงอีกต่อไป และสะท้อนความเสี่ยงด้านราคาที่สูงเกินพื้นฐานของบริษัท 

ซีเอ็นบีซีรายงานว่า กำไรที่ร้อนแรงของหุ้นกลุ่ม AI ได้ส่งผลให้อัตราส่วน “ราคาต่อกำไรล่วงหน้า” (Forward P/E Ratio) ของดัชนี S&P 500 สูงกว่า 23 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2000

แม้ว่าหุ้นกลุ่ม AI จะเป็นแรงผลักดันให้ตลาดโดยรวมขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่ Anthony Saglimbene จาก Ameriprise มองว่า “หากไม่มีการปรับฐาน มูลค่าของหุ้นกลุ่มนี้ก็จะเริ่มสูงลิ่ว ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงด้านราคาที่สูงเกินไป”

กูรูเตือนระวัง ‘ปรับฐาน’ เหตุมูลค่าหุ้นสูงเกินจริง

การปรับตัวลดลงของตลาดในครั้งนี้ สะท้อนความกังวลครั้งใหญ่ของนักลงทุน หลังจากที่ก่อนหน้านี้บรรดานักวิเคราะห์ นักลงทุนชื่อดังออกมาเตือนและส่งสัญญาณถึง “กระแสฟองสบู่ AI”

  • ไมเคิล เบอร์รี่

ไม่นานมานี้ ไมเคิล เบอร์รี่ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ชื่อดัง เผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม X โดยใช้ข้อความว่า "บางครั้งเราก็เห็นฟองสบู่" (‘Sometimes We See Bubbles’) เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผู้คนจำนวนมากกำลังตั้งคำถามถึงความมั่นคงทางการเงินของ "ความเฟื่องฟูของ AI" (AI boom) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้ราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีกลุ่มเล็กๆ พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก

แม้ว่า  ไมเคิล เบอร์รี่ ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า "ฟองสบู่" ที่กล่าวถึงนั้นหมายถึงตลาดใด แต่ถูกตลาดตีความว่าเป็นการเตือนทางอ้อมไปยังนักลงทุนรายย่อยเกี่ยวกับภาวะความเฟื่องฟูของตลาดในช่วงที่ผ่านมา

  • เรย์ ดาลิโอ

ด้าน “เรย์ ดาลิโอ”  ผู้ก่อตั้งบริษัทกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Bridgewater Associates ได้ออกมาเตือนว่าฟองสบู่เทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐอาจกำลังก่อตัวขึ้นท่ามกลางกระแสการเติบโตของ AI 

 ดาลิโอให้ความเห็นว่า แม้จะมีฟองสบู่เกิดขึ้นมากมาย แต่ฟองสบู่นี้อาจยังไม่แตกในเร็ววัน  

“ฟองสบู่จะไม่แตกจริงๆ จนกว่าจะถูกทำให้แตกด้วยความตึงเครียดของนโยบายการเงิน และอื่นๆ ”

 ดาลิโอยังชี้ให้เห็นว่า ตลาดโดยรวมมีผลประกอบการ "ค่อนข้างย่ำแย่" และ 80% ของกำไรนั้นกระจุกตัวอยู่ในกลุ่ม Big Tech รวมทั้งการปรับตัวสู้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของดัชนีหลักทั้ง 3 ของสหรัฐหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นผู้นำ และตลาดกำลังคาดหวังข่าวดีเกี่ยวกับ AI มากขึ้นจากผลประกอบการของ Big Tech ในไตรมาสถัดๆ ไป

  • ไมค์ กิตลิน

ไมค์ กิตลิน ประธาน และซีอีโอของ Capital Group บริษัทจัดการลงทุนชั้นนำ ให้ความเห็นในการประชุมด้านการเงินที่จัดโดย การเงินฮ่องกง (Hong Kong Monetary Authority)  เมื่อต้นเดือนพ.ย.ว่า “ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่งดีอยู่ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ มูลค่าหุ้นที่ตอนนี้อยู่ในระดับสูง”

  • ‘มอร์แกน สแตนลีย์-โกลด์แมน แซกส์’

ความเห็นของเขาไปในทิศทางเดียวกับ เท็ด พิก ซีอีโอของมอร์แกน สแตนลีย์ และ เดวิด โซโลมอน ซีอีโอของโกลด์แมน แซกส์ ต่างก็คาดว่าตลาดมีโอกาสเจอการเทขายครั้งใหญ่ในไม่ช้า และมองว่าการปรับฐานลงมาเป็น “ส่วนหนึ่งตามธรรมชาติของวงจรตลาด”

ขณะที่โซโลมอน มองว่า “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงเต็มที่แล้ว” แต่ตลาดโดยรวมยังไม่ถึงจุดนั้น เขาแนะนำลูกค้าของ Goldman Sachs ให้ อยู่ในตลาดต่อไป ปรับสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตให้เหมาะสม และอย่าพยายามจับจังหวะตลาด

โซโลมอนทิ้งท้ายว่า การที่ตลาดหุ้นปรับฐาน 10–15% สามารถเกิดขึ้นได้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจดี และไม่ได้เปลี่ยนทิศทางเงินทุนในระยะยาวหรือโครงสร้างการลงทุนโดยรวม

  • เจมี่ ไดมอน แห่งเจพีมอร์แกนเชส

เจมี่ ไดมอน ประธานกรรมการบริหารของเจพีมอร์แกนเชส ที่ออกมาเตือนในช่วงกลางเดือนต.ค. ว่า สินทรัพย์จำนวนมาก "กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่" ในขณะเดียวกัน เจน เฟรเซอร์ ประธานกรรมการบริหารของ ซิตี้ กรุ๊ปเอง ก็ได้พูดถึง "การประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่สูงเกินจริง" เช่นกัน

ธนาคารกลางอังกฤษชี้ว่า “ความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานอย่างรุนแรงมีเพิ่มขึ้น" และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็มีความกังวลเกี่ยวกับ "ความผันผวน" เนื่องจาก "ราคาของสินทรัพย์เสี่ยงที่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นอย่างมาก"

เมื่อพิจารณาจากการซื้อหุ้นในดัชนี S&P 500 ของอเมริกาในปัจจุบัน นักลงทุนจะต้องจ่ายเงินในราคาที่สูงกว่า 41 เท่าของกำไรพื้นฐานโดยเฉลี่ย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อัตราส่วนที่มากขนาดนี้พบเจอได้แค่ในช่วงวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมเท่านั้น ซึ่งตัวเลขในช่วงเวลานั้นก็ไม่ได้สูงไปกว่าในปัจจุบันมากเท่าไร

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์