จีดีพีจีนจะโต 4% ไปจนถึงปี 2030 ลุยกระตุ้นบริโภค-ขยายตลาดในประเทศ

จีดีพีจีนจะโต 4% ไปจนถึงปี 2030  ลุยกระตุ้นบริโภค-ขยายตลาดในประเทศ

จับสัญญาณนายกฯ จีน 'หลี่ เฉียง' ลั่นจีดีพีจีนจะเติบโตเกิน 170 ล้านล้านหยวน ภายใน 5 ปี สะท้อนโตเฉลี่ยปีละ 4% ไปจนถึงปี 2030 จะเน้น 'ขยายอุปสงค์ในประเทศ-กระตุ้นการบริโภค' ปลดปล่อยศักยภาพตลาดจีน

นักวิเคราะห์จับสัญญาณนายกรัฐมนตรี "หลี่ เฉียง" ของจีน ซึ่งกล่าวในงาน China International Import Expo (CIIE) ในเซี่ยงไฮ้ วันนี้ (5 พ.ย.) ว่าเศรษฐกิจจีนจะยังคงรักษาอัตราการเติบโตในปัจจุบัน โดยยกย่องจีนว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับบริษัทระดับโลก และปักกิ่งกำลังพยายามบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับ "ความไม่สมดุลทางการค้า"

นายกฯ จีนคาดว่า ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะเติบโตเกิน 170 ล้านล้านหยวน (ราว 777 ล้านล้านบาท) ภายใน 5 ปี ซึ่งหมายความว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 4% จนถึงปี 2030 (ไม่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับการเติบโตของจีดีพีตามที่รายงานไว้ในปีนี้

หลี่ เฉียง กล่าวว่าการขยายตัวนี้จะเป็น “การมีส่วนสำคัญใหม่ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก” และเน้นย้ำด้วยว่าจีนจะมุ่ง “ขยายอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภค” เพื่อปลดล็อกศักยภาพของตลาด
 

ในงาน China International Import Expo ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีอิราคลี โคบาคิดเซ ของจอร์เจีย และนายกรัฐมนตรีดูโร มาคุต ของเซอร์เบีย เข้าร่วมด้วยนั้น หลี่ เฉียงยังได้วิพากษ์วิจารณ์การกีดกันทางการค้าว่าเป็น “มาตรการฝ่ายเดียว และแนวกีดกันทางการค้าได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระเบียบเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ” ซึ่งจีนจะร่วมมือกับประเทศอื่นๆ เพื่อส่งเสริมให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมและอุปทานโลกมีความมั่นคงและไหลเวียนได้อย่างราบรื่น

นักวิเคราะห์มองอย่างไร?

มิเชล แลม นักเศรษฐศาสตร์เกรตเตอร์ไชน่าจากธนาคาร Societe Generale SA ระบุว่า แม้หลี่จะไม่ได้ให้ตัวเลขเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ตัวเลขดังกล่าวก็สามารถมองได้ว่าเป็นกรอบของการเติบโต และสะท้อนให้เห็นว่าปักกิ่งให้ความสำคัญมากขึ้นกับ “คุณภาพของการเติบโต” 

“ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าการเติบโตของจีดีพีที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP) จะไม่ลดลงไปจากระดับนี้อีกต่อไป” แลมกล่าว “สุดท้ายแล้ว ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของจีดีพีที่แท้จริง (Real GDP) อีกต่อไป การหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดต่างหากที่สำคัญกว่า”

ด้านจ้าวเผิง ซิง นักกลยุทธ์อาวุโสจากธนาคาร ANZ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่จีดีพีจะโตเกิน 170 ล้านล้านหยวน อาจหมายถึงช่วงระหว่าง 170 ล้านล้านถึง 180 ล้านล้านหยวน ซึ่งสะท้อน “ช่วงที่สมเหตุสมผล” ของการเติบโตระหว่าง 4-5% ต่อปี

บลูมเบิร์กระบุว่า จีนกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีที่แท้จริงราว 5% ในปี 2025 นี้ แต่การขยายตัวของ Nominal GDP กลับช้ากว่าเนื่องจากราคาสินค้าลดลง "ภาวะเงินฝืด" อย่างต่อเนื่องถือเป็นพิษต่อการเติบโต เพราะทำให้ผู้บริโภคเลื่อนการจับจ่าย เพิ่มภาระหนี้ และบีบกำไรของภาคธุรกิจ เสี่ยงต่อวงจรอันตรายของการใช้จ่ายที่ลดลงและการลงทุนที่ซบเซา

การทำลายวงจรนี้กลายเป็น "หนึ่งในเป้าหมายเชิงนโยบายสูงสุด" ของรัฐบาลปักกิ่ง โดยได้ออกแคมเปญที่เรียกว่า Anti-involution เพื่อยุติสงครามราคาที่รุนแรงในอุตสาหกรรมต่า ๆ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ไปจนถึงบริการส่งอาหาร ซึ่งรัฐบาลหวังว่าการปราบปรามการแข่งขันที่รุนแรงเกินไปจะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถฟื้นอำนาจการตั้งราคา สร้างกำไรใหม่ และนำไปสู่การขึ้นค่าจ้าง ที่จำเป็นต่อการกระตุ้นการบริโภค

อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของจีนในฐานะตลาดผู้บริโภคไม่ได้ขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของจีดีพีเพียงอย่างเดียว สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐ วิพากษ์วิจารณ์มานานว่าจีน "มีแนวปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อการแข่งขัน" และกระแสกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นก็ได้สร้างความไม่แน่นอนต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจด้วย