ครบรอบ 1 ปี Trump 2.0 ‘ทอง-บิตคอยน์-หุ้น’ นิวไฮ ‘บอนด์-ค่าเงิน’ สุดผันผวน

เปิดผลงานเศรษฐกิจครบรอบ 1 ปี Trump 2.0 หลังได้รับชัยชนะในวันที่ 5 พ.ย.68 พลิกโฉมภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกดัน ‘ทอง-บิตคอยน์-หุ้น’ ทำราคานิวไฮ ส่วน ‘บอนด์-ค่าเงิน’ สุดผันผวน
นับตั้งแต่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.2567 วันนี้ครบรอบ 1 ปีแล้วที่ตลาดการเงินทั่วโลกได้เผชิญกับปีที่เต็มไปด้วยความผันผวนสูง จากความไม่แน่นอนของนโยบายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สินทรัพย์หลายอย่างทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้ง หุ้น ทองคำ และสกุลเงินดิจิทัล
ย้อนกลับไป ณ ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ทันทีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งตลาดก็มีปฏิกิริยาชัดเจน ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หุ้น และบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น หลังจากนั้น ทรัมป์ได้เดินหน้าพลิกโฉมภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกอย่างรวดเร็วด้วยการ ทำข้อตกลงการค้าใหม่ ๆ พร้อมทั้งพลิกผันห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และประกาศขึ้นภาษีทั่วโลก ซึ่งนำมาสู่การเจรจาการค้ากับนานาประเทศ
‘ดอลลาร์’ วูบหนัก แต่ยังสำคัญอันดับแรก
“ค่าเงินดอลลาร์” สะท้อนปฏิกิริยาของตลาดโลกต่อแนวทางที่ไม่แน่นอนของทรัมป์ได้ชัดเจนที่สุด หลังการเลือกตั้ง ค่าเงินดอลลาร์ได้พุ่งสูงขึ้นทันที เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าการใช้จ่ายจำนวนมากที่ทรัมป์สนับสนุนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม มูลค่าสุทธิของดอลลาร์กลับลดลงไป 4% นับจากนั้นเป็นต้นมา
แม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลง แต่ความต้องการเงินดอลลาร์ก็ไม่น่าจะลดลงในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่ตลาดการเงินเกิดความปั่นป่วนหรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น เงินดอลลาร์มักจะถูกเลือกเป็นตัวเลือกแรกของนักลงทุน
Piotr Matys นักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนเปรียบเทียบว่า ดอลลาร์เป็น "เสื้อสกปรกที่สะอาดที่สุด" หมายถึง แม้จะมีปัญหา แต่มันก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นๆ ที่แย่กว่า
‘ทองคำ-บิตคอยน์’ ทำนิวไฮไม่หยุด
นโยบายของทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ “ภาษีศุลกากร” ที่มีต่อคู่ค้า และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายเหล่านั้น ทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ โดยเฉพาะสินทรัพย์ปลอดภัยผลักดันให้ “ทองคำ” พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,381 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือนต.ค.
ขณะเดียวกัน นโยบายที่สนับสนุน “คริปโทเคอร์เรนซี” ก็ส่งผลให้ราคา “บิตคอยน์” พุ่งสูงถึง 125,835.92 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนต.ค.เช่นกัน
หุ้น AI บูม ดันตลาดทั่วโลกทะยาน
ตลาดหุ้นทั่วโลกทำสถิติสูงสุด AI และนโยบายทรัมป์ขับเคลื่อน ทรัมทำให้ตลาดหุ้นโลกผันผวนอย่างหนักหลังการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรใน "วันปลดแอก” (Liberation Day) เมื่อวันที่ 2 เม.ย.68 ดัชนี MSCI World ลดลงถึง 10% แต่หลังจากนั้นตลาดสามารถฟื้นตัวกลับมาทำสถิติสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว โดยดัชนี MSCI World ได้เพิ่มขึ้นกว่า 20% นับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.67
รอยเตอร์รายงานว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกได้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ โดยมีสาเหตุหลักมาจาก 2 ปัจจัยหลัก
กระแส AI บูม จากความนิยมในเทคโนโลยี AI ได้กระตุ้นให้ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 17% นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้วถึงปัจจุบัน
แนวโน้ม “ดอกเบี้ยขาลง” จากความคาดหวังว่าธนาคารกลางต่างๆ จะปรับลดดอกเบี้ยลงช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน
สำหรับตลาดหุ้นรายภูมิภาค ในบรรดาประเศรษฐกิจใหญ่ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกัน โดยดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 17% นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว โดยได้รับแรงหนุนหลักจากกระแส AI ที่ร้อนแรง
ด้านตลาดหุ้นยุโรปมีหุ้นในกลุ่ม “อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ” เป็นหัวใจสำคัญของการพุ่งขึ้นของราคา เนื่องจากนโยบายของทรัมป์บังคับให้รัฐบาลในภูมิภาคต้องใช้จ่ายด้านความมั่นคงของตนเองมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์สงครามในยูเครน
สำหรับตลาดหุ้นเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของ “หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี” ที่รับอานิสงส์จากกระแส AI และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาหุ้นในประเทศเหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
‘เทสลา’ หมากบนกระดานการเมือง ‘ทรัมป์-มัสก์’
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างทรัมป์ กับ “อีลอน มัสก์ “มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาหุ้น “เทสลา” (Tesla) พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงหลายสัปดาห์หลังการเลือกตั้ง
มัสก์ได้ใช้เงินกว่า 250 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนการหาเสียงของทรัมป์ในปีที่แล้ว และยังได้ร่วมรณรงค์หาเสียงด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาคือ ราคาหุ้น Tesla เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน จากตกต่ำสุดขีดจนราคาหุ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 488.5 ดอลลาร์ และทำให้ความมั่งคั่งของมัสก์พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย จนกลายเป็นมหาเศรษฐีคนแรกที่มีความมั่งคั่งทะลุระดับ 5 ล้านล้านดอลลาร์
แต่ทว่าช่วงเวลาของดาวรุ่งไม่ได้พุ่งนาน เมื่อมัสก์เปิดกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล(DOGE) ในเดือนม.ค.ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาลทรัมป์ ความภักดีต่อแบรนด์ของเทสลาก็เปลี่ยนไป พฤติกรรมที่ซีอีโอคนนี้เล่นการเมืองอย่างเปิดเผยได้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ซื้อ ส่งผลให้ยอดส่งมอบรถยนต์ของเทสลาลดลงติดต่อกันถึง 2 ไตรมาส
หุ้นของเทสลาตกต่ำที่สุดในเดือนเม.ย. ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากความตึงเครียดระหว่างมัสก์กับทรัมป์ได้ลุกลามออกสู่สาธารณะ และจบลงด้วยการแตกหักในช่วงปลายเดือนพ.ย.
แต่แม้จะเกิดความผันผวนทั้งหมดนี้ แต่เทสลาซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ก็ยังคงทำผลงานได้ดีกว่าคู่แข่งเก่าที่กำลังประสบปัญหา เช่น GM, Ford, และ Stellantis
‘บอนด์ยีลด์พุ่ง’ กังวลการกู้ยืมของรัฐบาลทรัมป์
หลังจากการเลือกตั้งของทรัมป์เป็นต้นมา “ผลตอบแทนพันธบัตร” (Bond Yields) ได้พุ่งสูงขึ้นในประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ทั่วโลก สิ่งนี้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับการกู้ยืมของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น และความยั่งยืนทางการเงินของภาครัฐ
ความกังวลหลักของนักลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐคือ ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการลดหย่อนภาษี ที่ทรัมป์วางแผนไว้ โดยเฉพาะร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ที่ผ่านความเห็นชอบในเดือนก.ค. ซึ่งคาดว่าจะทำให้การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นประมาณ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในอีก 10 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความกังวลเรื่องการขาดดุล แต่ด้วยการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อที่ดูเหมือนจะควบคุมได้ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้นเพียง 0.14% อยู่ที่ 4.66% นับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน ตลาดพันธบัตรในประเทศอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นที่รุนแรงกว่า นำโดยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ปรับตัวขึ้นค่อนข้างรุนแรง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้นเกือบ 0.85% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนฝั่งของยุโรปมีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของ ฝรั่งเศส และเยอรมนี เพิ่มขึ้น 0.62% และ 0.59% ตามลำดับ ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย.2567
ภาษีศุลกากรทรัมป์ แก้ปัญหาขาดดุลการค้าได้จริง?
ประเด็นหลักที่โดนัลด์ ทรัมป์ เน้นย้ำคือ ดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นหลักฐานที่แสดงว่าสหรัฐกำลังถูกประเทศพันธมิตร "ฉ้อโกง" และเชื่อว่าภาษีศุลกากร เป็นหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้
มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ได้ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้น และทำให้การวางแผนทางธุรกิจซับซ้อนขึ้น แต่ก็ดูเหมือนจะส่งผลต่อการขาดดุลการค้า เนื่องจากข้อมูลล่าสุดระบุว่า การขาดดุลการค้าโดยรวมของสหรัฐแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีที่ 6.02 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ขณะเดียวกันการขาดดุลการค้ากับจีนลดลงถึง 70% ในช่วงเวลา 5 เดือน สู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 21 ปี
ท่ามกลางความผันผวนของนโยบายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นักลงทุนได้เรียนรู้ที่จะฝ่าฟันความไม่แน่นอนเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการซื้อขายหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากคำขู่ของทรัมป์ที่เรียกว่า "TACO" ซึ่งมาจากวลีที่ว่า “Trump Always Chickens Out” ซึ่งเป็นสำนวนที่หมายถึง “ทรัมป์ขี้ขลาดเสมอ”
นักลงทุนมักใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ TACO รับมือกับสถานการณ์ที่ทรัมป์มักจะขู่ดำเนินการอย่างแข็งกร้าวในตอนแรก แต่สุดท้ายมักจะยอมถอย หรือผ่อนคลายความตึงเครียดลงในภายหลัง
อ้างอิง Reuters
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







