ส่อง MOA ในการเมืองญี่ปุ่น ความเหมือนที่แตกต่าง

หลังเกิดสุญญากาศมาพักใหญ่ ในที่สุดการเมืองญี่ปุ่นก็ถูกปลดล็อก บ่ายวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ทั้งสภาล่างและสภาสูงของญี่ปุ่นลงคะแนนเลือกซานาเอะ ทาคาอิชิ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 104 ของประเทศ
และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองญี่ปุ่น
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือเป็นครั้งแรกที่พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ที่ครองอำนาจทางการเมืองมาถึง 70 ปีตั้งแต่ปี 2498 แตกหักกับพันธมิตรสำคัญอย่างพรรคโคเมอิโตะ (NKP) ที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลมายาวนานกว่า 26 ปี ทำให้พรรค LDP ต้องหันไปจับมือกับพรรคเล็กคือ พรรคอิชิน หรือ JIP (Japan Innovation Party) ที่มีคะแนนเสียงในสภาอยู่ในอันดับสามคือ 35 เสียง (พรรค LDP มี 196 เสียง)
แม้จับมือกันแล้วก็ยังจะเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ไม่ได้เสียงข้างมากอย่างเด็ดขาดทั้งสภาล่างและสภาบน พรรค JIP ที่มีนายโยชิมูระ ฮิโรฟูมิ วัย 50 ปีเป็นผู้นำขณะนี้ เป็นพรรคกลางขวาขนาดเล็กที่เติบโตจากจังหวัดโอซากาและก่อตั้งมาได้เพียง 13 ปี บัดนี้กลายเป็นที่พิงของพรรค LDP
โดยเพียงหนึ่งวันก่อนสภาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งสองพรรคบรรลุข้อตกลงที่อาจจะเรียกว่า MOA เหมือนกับที่พรรคการเมืองในประเทศไทยตกลงกันอย่างไรอย่างนั้น จะต่างกันเพียงของญี่ปุ่นพรรคเล็กไปค้ำพรรคใหญ่ แต่เมืองไทยกลับตรงกันข้าม มาดูกันว่า MOA ระหว่าง LDP กับ JIP มีอะไรบ้าง
1.ฮิโรฟูมิย้ำหลายหนว่าข้อนี้เป็น “ข้อเสนอที่ไม่อาจต่อรองได้” คือ ต้องลดจำนวน สส.ในสภาลง เขาประกาศกร้าวว่าจะไม่มีการจับมือกันตราบใดที่ไม่มีข้อสรุปว่าจะตัดลดจำนวน สส.ลงเท่าไร (รายงานข่าวว่าจะมีการตัดจำนวน สส.ลง 10%)
2.ต้องยกเลิกการรับเงินบริจาคเข้าพรรคการเมืองจากธุรกิจหรือองค์กรใดๆ ข้อนี้พรรค LDP เห็นด้วยบางส่วน ขอว่ายังไม่ยกเลิกเลยทันทีแต่รับว่าจะทำงานกับพรรค JIP เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมให้ได้ข้อสรุปภายในวาระการดำรงตำแหน่งประธานพรรค LDP ของทาคาอิชิที่จะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2570
ประเด็นการรับเงินบริจาคเข้าพรรคนี้เป็นประเด็นอื้อฉาวที่ทาคาอิชิถูกตั้งคำถามอย่างมาก จนทำให้พรรคโคเมอิโตะไม่พอใจและนำไปสู่การถอนตัวก่อนหน้านี้
3.ต้องลดภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีการค้าที่เก็บจากสินค้าอาหารลงให้เหลือศูนย์เป็นการชั่วคราวจากที่ปัจจุบันเก็บ 10% (พรรค JIT เสนอ 2 ปี) เรื่องนี้พรรค LDP รับว่าจะผลักดันและเจรจาหาข้อตกลงกันต่อไป
4.เริ่มแผนการตั้งเมืองหลวงแห่งที่ 2 ซึ่งพรรค JIP กำหนดเป็นเป้าหมายระยะยาวและใช้ความพยายามมาตลอดตามนโยบายการกระจายอำนาจออกจากเมืองหลวงโตเกียว โดยต้องการให้โอซากาเป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ซึ่งพรรค LDP เห็นชอบในข้อนี้
5.สองพรรคเห็นชอบร่วมกันที่จะปฏิรูประบบประกันสังคม เพื่อลดภาระให้คนวัยทำงาน
ความละม้ายกับการเมืองไทยอีกอย่างนอกจากจะมี MOA แล้ว พรรค JIP ยังยื่นข้อเสนอที่จะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลใหม่ ขอเป็นผู้สนับสนุนนอกรัฐบาล อย่างน้อยก็ในระยะต้นนี้
แต่ที่ไม่เหมือนกันเลยเห็นจะเป็นที่ข้อตกลงแต่ละข้อข้างต้นของพรรค JIP ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วจะเห็นว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ เป็นการปฏิรูปที่น่าจะได้ใจประชาชน ทั้งในแง่ลดภาระทางเศรษฐกิจ ลดความเทอะทะของระบบราชการ
ทำให้พรรคการเมืองสะอาดและโปร่งใสขึ้น ทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชน ไม่เหมือน MOA ของบ้านเราที่มุ่งยุบสภา แก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนยังงงๆ ว่าจะได้ประโยชน์ตรงไหน
แม้พรรค JIP จะถูกมองว่าเป็นพรรคสายกลางค่อนไปทางอนุรักษ์นิยม แต่ข้อเสนอหลายข้อของพรรคก็สะท้อนความเป็นพรรคปฏิรูปอย่างน่าสนใจ เฉพาะข้อที่ต้องการให้มีการลดจำนวน สส.ในสภาเพื่อประหยัดงบประมาณและทำให้รัฐบาลมีขนาดเล็กลงก็น่าสนใจมากแล้ว และนับเป็นเรื่องท้าทายสำหรับรัฐบาลของทาคาอิชิ เพราะพรรคการเมืองต่างๆ ย่อมได้รับผลกระทบทั่วหน้า
การเสนอปฏิรูประบบเงินบริจาคสนับสนุนพรรคการเมืองนั้น เป็นที่ชื่นชมของสังคมเพื่อความโปร่งใสแก้ปัญหาคอร์รัปชัน แต่ดูจะขัดใจสมาชิกพรรค LDP จำนวนไม่น้อย
อีกเรื่องที่สำคัญคือ นโยบายด้านเศรษฐกิจของทาคาอิชิกับพรรค JIP เหมือนจะไปคนละทาง ทาคาอิชิเชื่อในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการทางการคลังผ่านการใช้จ่ายของรัฐในโครงการขนาดใหญ่และภาษีเหมือนสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ ขณะที่ JIP เน้นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ วินัยทางการคลัง และการกระจายอำนาจรัฐมากกว่า ความแตกต่างนี้อาจจะนำไปสู่ความเปราะบางระหว่างสองพรรค
เรื่องเล็กๆ สุดท้าย ดูการถ่ายทอดสดการประชุมลงคะแนนและนับคะแนนในสภาไดเอดของญี่ปุ่นแล้ว ก็เกิดความชื่นชมในความเรียบง่าย เป็นระเบียบเรียบร้อย สุภาพ และมีวินัยของสมาชิกสภาญี่ปุ่น
การนับคะแนนใช้คณะกรรมการสิบกว่าคนนับบัตรลงคะแนนกันด้วยมือในสภาที่ดูเคร่งขรึมและถ่อมตัว ไม่ใช่สภาที่ยิ่งใหญ่อลังการมูลค่าหลายหมื่นล้าน มีเทคโนโลยีซับซ้อนทันสมัยแต่กลับหาสมาชิกผู้ทรงเกียรติไม่ค่อยมี เหมือนประเทศมีปมด้อยที่ต้องคิดหาทางสร้างปมเขื่องในเรื่องอันหาสาระไม่ได้
ดูการเมืองญี่ปุ่นแล้วจึงอดอิจฉาเขาไม่ได้เมื่อเทียบกับการเมืองและนักการเมืองไทย เพราะแค่ MOA เขาก็กินขาดเราแล้ว







